วันพฤหัสบดีที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2557

เพลง ลาวคำหอม เครื่องสยไทย


หน้าทับเพลงไทย

รูปแบบการบรรเลงหน้าทับเพลงไทย


หน้าทับ ปรบไก่ 3 ชั้น
- ทั่ม ติง - โจ๊ะ - จ๊ะ - โจ๊ะ - จ๊ะ - โจ๊ะ - จ๊ะ - - - - - โจ๊ะ - จ๊ะ - โจ๊ะ - จ๊ะ - โจ๊ะ - จ๊ะ
- ติง - ติง - ทั่มติงทั่ม ติงทั่ม-ติง - โจ๊ะ - จ๊ะ - ติง-ทั่ม - ติง - ติง - ทั่ม - ติง - ติง – ทั่ม


หน้าทับ ปรบไก่ 2 ชั้น
ทั่ม ติง - โจ๊ะ - จ๊ะ - โจ๊ะ - จ๊ะ - โจ๊ะ - จ๊ะ - ติง-ทั่ม - ติง - ติง - ทั่ม - ติง - ติง – ทั่ม


หน้าทับ ปรบไก่ ชั้นเดียว
- ติงทั่ม - ติง - - ติงทั่ม-ติง -ทั่มติงทั่ม


หน้าทับ สดายง 3 ชั้น
- ทั่ม ติง - โจ๊ะ - จ๊ะ - โจ๊ะ - จ๊ะ - โจ๊ะ - จ๊ะ - - - - - โจ๊ะ - จ๊ะ - โจ๊ะ - จ๊ะ - โจ๊ะ - จ๊ะ
- - - ติง - ติง - ทั่ม - - - ทั่ม - - - ติง - - -ติง - ติง - ทั่ม - ติง - ทั่ม ติงทั่ม-ติง


หน้าทับสดายง 2 ชั้น
- ทั่ม ติง - โจ๊ะ - จ๊ะ - โจ๊ะ - จ๊ะ - โจ๊ะ - จ๊ะ - ติง -ทั่ม ติงทั่ม-ติง - ติง - ทั่ม ติงโจ๊ะทั่มติง


หน้าทับสดายง ชั้นเดียว
- โจ๊ะจ๊ะ - โจ๊ะ - จ๊ะ - ติง - ทั่ม ติงโจ๊ะทั่มติง


หน้าทับเขมร 3 ชั้น
- - - - - โจ๊ะ - จ๊ะ - โจ๊ะ - จ๊ะ - - - - - โจ๊ะ - จ๊ะ - โจ๊ะ - จ๊ะ - โจ๊ะ - จ๊ะ - ติง - ทั่ม
- - - - - โจ๊ะ-จ๊ะ - โจ๊ะ - จ๊ะ - ติง - ทั่ม - โจ๊ะ - จ๊ะ - ติง - ทั่ม - ติง - ทั่ม - โจ๊ะ - จ๊ะ


หน้าทับเขมร 2 ชั้น
- - - - - โจ๊ะ-จ๊ะ - โจ๊ะ - จ๊ะ - ติง - ทั่ม - โจ๊ะ - จ๊ะ - ติง - ทั่ม - ติง - ทั่ม - โจ๊ะ - จ๊ะ


หน้าทับเขมร ชั้นเดียว
- - โจ๊ะจ๊ะ - ติง - ทั่ม - ติง - ทั่ม - โจ๊ะ – จ๊ะ


หน้าทับมอญ 3 ชั้น
- ทั่ม ติง - โจ๊ะ - จ๊ะ - โจ๊ะ - จ๊ะ - โจ๊ะ - จ๊ะ - - - - - โจ๊ะ - จ๊ะ - โจ๊ะ - จ๊ะ - โจ๊ะ - จ๊ะ
- ติง - ติง - ทั่มติงทั่ม ติงทั่ม-ติง - โจ๊ะ - จ๊ะ - ติง-ทั่ม - ติง - ติง - ทั่ม - ติง - ติง – ทั่ม


หน้าทับมอญ 2 ชั้น
- - - - - ติง - - - - ทั่มติง - - ทั่มติง


หน้าทับมอญ ชั้นเดียว
- ติงทั่ม - ติง - - ติงทั่ม-ติง -ทั่มติงทั่ม


หน้าทับสองไม้ (ไทย) 3 ชั้น
- ทั่ม ติง - โจ๊ะ - จ๊ะ - โจ๊ะ - จ๊ะ - โจ๊ะ - จ๊ะ - ติง - ติง - ทั่มติงทั่ม - ติง - ติง – ทั่มติงทั่ม


หน้าทับสองไม้ (ไทย) 2 ชั้น
- โจ๊ะจ๊ะ ติงติง-ติง - โจ๊ะจ๊ะ ติงติง-ทั่ม


หน้าทับสองไม้ (ไทย) ชั้นเดียว
- โจ๊ะจ๊ะ ติงติง-ทั่ม


หน้าทับลาว 3 ชั้น
- ทั่ม ติง - โจ๊ะ - จ๊ะ - โจ๊ะ - จ๊ะ - โจ๊ะ - จ๊ะ - ติง - ติง - ทั่มติงทั่ม - ติง - ติง - ทั่มติงทั่ม


หน้าทับลาว 2 ชั้น
- ติง-โจ๊ะ - ติง - ติง - - - ทั่ม - ติง - ทั่ม


หน้าทับลาว ชั้นเดียว
- โจ๊ะจ๊ะ ติงติง-ทั่ม


หน้าทับจีน 3 ชั้น
ทั่ม ติง - โจ๊ะ - จ๊ะ - โจ๊ะ - จ๊ะ - โจ๊ะ - จ๊ะ - ติง - ติง - ทั่มติงทั่ม - ติง - ติง – ทั่มติงทั่ม

หน้าทับจีน 2 ชั้น
- - - - - - - ติง - ติง - - - ติง - ติง


หน้าทับจีน ชั้นเดียว
- โจ๊ะจ๊ะ ติงติง-ทั่ม


หน้าทับญวน 3 ชั้น
- ทั่ม ติง - โจ๊ะ - จ๊ะ - โจ๊ะ - จ๊ะ - โจ๊ะ - จ๊ะ - ติง - ติง - ทั่มติงทั่ม - ติง - ติง - ทั่มติงทั่ม


หน้าทับญวน 2 ชั้น
- - - - - ติง-ทั่ม - ติง-ทั่ม - ติง - ติง


หน้าทับญวน ชั้นเดียว
- โจ๊ะจ๊ะ ติงติง-ทั่ม


หน้าทับพม่า 3 ชั้น
- ทั่ม ติง - โจ๊ะ - จ๊ะ - โจ๊ะ - จ๊ะ - โจ๊ะ - จ๊ะ - - - - - โจ๊ะ - จ๊ะ - โจ๊ะ - จ๊ะ - โจ๊ะ - จ๊ะ
- ติง - ติง - ทั่มติงทั่ม ติงทั่ม-ติง - โจ๊ะ - จ๊ะ - ติง-ทั่ม - ติง - ติง - ทั่ม - ติง - ติง – ทั่ม


หน้าทับพม่า 2 ชั้น
- - - - - - - ทั่ม - ทั่ม - - -ทั่ม-ทั่ม


หน้าทับพม่า ชั้นเดียว
- ติงทั่ม - ติง - - ติงทั่ม-ติง -ทั่มติงทั่ม


หน้าทับเจ้าเซ็น 3 ชั้น
ทั่ม ติง - โจ๊ะ - จ๊ะ - โจ๊ะ - จ๊ะ - โจ๊ะ - จ๊ะ - ติง - ติง - ทั่มติงทั่ม - ติง - ติง – ทั่มติงทั่ม


หน้าทับเจ้าเซ็น 2 ชั้น
- ติง-จ๊ะ - โจ๊ะ-ติง - ติง - - - ติง - ทั่ม


หน้าทับเจ้าเซ็น ชั้นเดียว
- โจ๊ะจ๊ะ ติงติง-ทั่ม


หน้าทับฝรั่ง 3 ชั้น
- ทั่ม ติง - โจ๊ะ - จ๊ะ - โจ๊ะ - จ๊ะ - โจ๊ะ - จ๊ะ - ติง - ติง - ทั่มติงทั่ม - ติง - ติง - ทั่มติงทั่ม


หน้าทับฝรั่ง 2 ชั้น
- ติงติงติง -ติง-ทั่ม -ติง -ทั่ม -ติง -ทั่ม


หน้าทับฝรั่ง ชั้นเดียว
- โจ๊ะจ๊ะ ติงติง-ทั่ม

ประเภทของเพลงไทย

ประเภทของเพลงไทย

         เพลงไทย หมายถึง เพลงที่แต่งขึ้นตามหลักของดนตรีไทย มีลีลาในการขับร้อง
และบรรเลงแบบไทย โดยเฉพาะและแตกต่างจากเพลงของชาติอื่นๆ เพลงไทยแต่เดิม
มักจะมีประโยคสั้นๆและมีจังหวะค่อนข้างเร็ว  ส่วนใหญ่มีต้นกำเนิดมาจากเพลงพื้นบ้าน
หรือเพลงสำหรับประกอบการรำเต้นเพื่อความสนุกสนาน รื่นเริง ต่อมาเมื่อต้องการจะใช้
เป็นเพลงสำหรับร้องขับกล่อม และ ประกอบการแสดงละครก็จำเป็นต้องประดิษฐ์ทำนอง
ให้มีจังหวะช้ากว่าเดิม และมีประโยคยาวกว่าเดิม ให้เหมาะสมที่จะร้อง

ประเภทของเพลงไทย  อาจแบ่งออกได้เป็นพวกๆ คือ

๑. เพลงสำหรับบรรเลงดนตรีล้วนๆ ไม่มีการขับร้อง  เป็นเพลงที่ใช้บรรเลงประโคมพิธีต่างๆ เพลงโหมโรง และเพลงหน้าพาทย์ จะเป็นเพลงสำหรับใช้ประกอบกิริยาอาการและแสดง
อารมณ์ต่างๆ ของการรำ

๒. เพลงสำหรับขับร้อง  คือ เพลงซึ่งร้องแล้วรับด้วยการบรรเลง เรียกว่า ร้องส่งดนตรี
เช่น เพลงประกอบ การขับเสภา(ร้องส่งเสภา) เพลงที่ร้องส่งเพื่อฟังไพเราะทั่วไปส่วนมาก
จะเป็นเพลงเถาและเพลงตับ

๓. เพลงประกอบการรำ  คือ เพลงร้องตามบทร้อง ให้ผู้รำได้รำตามบทหรือเนื้อร้อง
ส่วนมากจะเป็นเพลง สองชั้นเพื่อให้เหมาะกับการรำไม่ช้าไปไม่เร็วไป นอกจากนั้น
ก็ยังใช้เพลงหน้าพาทย์ประกอบการแสดง กิริยาอาการ ของผู้แสดงอีกด้วย



ลักษณะเพลงไทยประเภทต่างๆ

เพลงชั้นเดียว
         เพลงชั้นเดียว หมายถึง เพลงที่มีจังหวะเร็ว หรือเรียกว่าเพลงเร็ว จะสังเกตได้จาก
เสียงฉิ่ง  ปกติแล้วการตีฉิ่งจะเริ่มด้วยเสียง ฉิ่ง และจบด้วยเสียง ฉับ ตีสลับกันไป
จนกว่าจะจบการบรรเลง ถ้าช่วงระหว่างเสียงฉิ่ง และฉับเร็วกระชับติดกัน ก็แสดงว่า
เป็นเพลงชั้นเดียว หรือสังเกตได้จากทำนองร้อง เพลงชั้นเดียวจะร้องเอื้อนน้อย หรือไม่มีการร้องเอื้อนเลยก็ได้
         เพลงชั้นเดียว ใช้ขับร้องและบรรเลงประกอบการแสดงมหรสพต่างๆ
เพลงสองชั้น
         เพลงสองชั้น หมายถึง เพลงที่มีจังหวะปานกลาง ไม่ช้าหรือเร็วจนเกินไป ส่วนใหญ่เป็นเพลงสั้นๆ ที่ร้องและจำทำนองง่าย มีความยาวกว่าเพลงชั้นเดียวหนึ่งเท่าตัว หรือสังเกตจากเสียงฉิ่ง ช่วงระหว่างเสียงฉิ่งและฉับห่างกันปานกลาง มีทำนองร้อง การร้องเอื้อนไม่มากไม่น้อย ขึ้นอยู่กับลักษณะของเพลง
         เพลงสองชั้น ใช้ขับร้องและบรรเลงเพื่อเป็นการขับกล่อม และประกอบการแสดง
มหรสพต่างๆ
เพลงสามชั้น
         เพลงสามชั้น หมายถึง เพลงที่มีจังหวะช้า ต้องใช้เวลาบรรเลงและขับร้องนานกว่า
เพลงในอัตราอื่นๆ  ถ้าจะสังเกตเสียงฉิ่ง ช่วงระหว่างเสียงฉิ่งและฉาบห่างกันมาก ทำนองร้องจะมีการร้องเอื้อนยาวๆ เพลงสามชั้นใช้ขับร้องและบรรเลงในโอกาสทั่วไป
เพลงเถา
         เพลงเถา หมายถึง เพลงขนาดยาวที่มีเพลง ๓ ชนิดติดต่ออยู่ในเพลงเดียวกัน
โดยการบรรเลงเพลงสามชั้นก่อน แล้วเป็นเพลงสองชั้น ลงมาจนถึงเพลงชั้นเดียว เรียกว่า เพลงเถา  ตัวอย่าง เพลงเขมรพวงเถา เดิมเป็นเพลงสองชั้น ต่อมา หลวงประดิษฐ์ไพเราะ ได้คิดแต่งขึ้นเป็นสามชั้นดำเนินทำนองเป็นคู่กัน กับเพลงเขมรเลียบพระนคร เมื่อราว พ.ศ. ๒๔๖๐ แล้วหมื่นประคมเพลงประสาน (ใจ นิตยผลิน) ได้ตัดลงเป็นชั้นเดียว เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๔ และมีทำนองชั้นเดียวโดย นายเหมือน ดุริยะประกิต เป็นผู้แต่งเพลงเถา
นิยมใช้บรรเลงและขับร้องในรูปของเพลงรับร้อง คือเมื่อร้องจบท่อน ดนตรีก็บรรเลงรับ  ไม่นิยมนำเพลงเถามาร้องให้ดนตรีบรรเลงคลอ หรือบรรเลงลำลองแต่อย่างใด
เพลงเกร็ด
         เพลงเกร็ด เป็นเพลงขนาดย่อม นำมาขับร้องและบรรเลงเป็นเพลงๆไป
อาจเป็นอัตราจังหวะใด จังหวะหนึ่งในชุดของเพลงเถา หรือเป็นเพลงใดเพลงหนึ่ง
จากชุดเพลงตับหรือเพลงเรื่องก็ได้   เพลงเกร็ด ที่ขับร้องและบรรเลงกันอยู่โดยทั่วๆ ไป มักจะมีบทร้องที่มีความหมาย มีคติมีความซาบซึ้ง ประทับใจและมีช่วงทำนองที่มีความ
ไพเราะเป็นพิเศษ  ตัวอย่างเพลงเกร็ด เช่น เพลงแป๊ะ (สามชั้น) เพลงแขกสาหร่าย (สองชั้น)
และเพลงเต่าเห่ (สองชั้น)
เพลงละคร
         เพลงละคร หมายถึง เพลงที่ใช้ขับร้องและบรรเลงในการแสดงโขน ละคร และ
มหรสพต่างๆ มีทั้งร้องแล้วดนตรีรับ ทั้งร้องคลอดนตรี เคล้า และลำลอง ขึ้นอยู่กับลักษณะ
การแสดงนั้นๆ
         ตัวอย่างเพลงละคร ได้แก่ เพลงอัตราสองชั้น เช่น เพลงสร้อยเพลง เพลงเวสสุกรรม เพลงพญาโศก หรือเพลงในอัตราเดียว เช่น เพลงนาคราช เพลงหนีเสือ เพลงลิงโลด
และเพลงพิเศษที่ใช้เฉพาะละครแท้ๆ เช่น เพลงช้าปี่ เพลงโอ้ชาตรี เพลงโอ้โลม เพลงโอ้ร่าย เพลงยานี เพลงชมตลาด เป็นต้น
         เพลงที่ใช้ร้องประกอบละครหรือมหรสพอื่นๆ จะต้องใช้ให้ถูกต้องตามอารมณ์ของ
ตัวละคร เช่น เพลงพญาโศก เพลงสร้อยเพลง ใช้สำหรับอารมณ์โศก  เพลงนาคราช เพลงลิงโลด ใช้สำหรับอารมณ์โกรธ เพลงโอ้โลม เพลงโอ้ชาตรี ใช้สำหรับอารมณ์รัก
หรือเวลาเกี้ยวพาราสี เป็นต้น
เพลงลา
         เพลงลา หมายถึง เพลงที่ผู้ขับร้องและบรรเลงแสดงเป็นอันดับสุดท้ายก่อนที่
การแสดงจะจบลง ซึ่งเป็นไปตามแบบแผนของการแสดงกิจกรรมการบรรเลงดนตรีไทย ที่โบราณจารย์ได้กำหนดไว้ กล่าวคือ เพลงแรกที่บรรเลงคือเพลงโหมโรง และเพลงสุดท้าย
ต้องบรรเลงเพลงลา เพื่อเป็นการร่ำลาให้ศีลให้พรแก่เจ้าของงานหรือผู้ชมผู้ฟัง เนื้อร้องมีความหมายในทางร่ำลา อาลัย อาวรณ์ และให้ศีลให้พรแล้ว มักจะมีสร้อย คือ มีการร้องว่า "ดอกเอ๋ย เจ้าดอก..." และจะมีเครื่องดนตรีชิ้นใดชิ้นหนึ่งบรรเลงเลียนเสียงร้อง
ให้คล้ายคลึงกันมากที่สุด ซึ่งเรียกกันเป็นทางภาษาสามัญว่า "ว่าดอก" เครื่องดนตรีที่ใช้
ก็อาจใช้ ซออู้
         เพลงลาที่นิยมใช้บรรเลงกัน เช่น เพลงเต่ากินผักบุ้ง เพลงพระอาทิตย์ชิงดวง เพลงอกทะเลเป็นต้น
เพลงเรื่อง
         เพลงเรื่อง คือ เพลงที่โบราณาจารย์ประดิษฐ์ขึ้น โดยนำเอาเพลงที่มีลักษณะ
ใกล้เคียงกันหลายๆ เพลงมาบรรเลงติดต่อกันเป็นชุด เป็นเรื่อง เพื่อความสะดวกในการ
ใช้บรรเลงในโอกาสต่างๆ กัน เช่น เพลงเรื่อง นางหงส์ สำหรับใช้บรรเลงประกอบพิธีศพ เพลงเรื่องฉิ่งพระฉันสำหรับใช้บรรเลงประกอบพระฉัน ภัตตาหาร และเพลงเรื่องสร้อยสน สำหรับใช้บรรเลงในโอกาสทั่วๆ ไป  นอกจากนั้น ยังเป็นการรวบรวมเพลงที่มีลักษณะ
คล้ายๆ กันมาไว้ด้วยกัน เพื่อความสะดวกในการจดจำ ที่น่าสังเกตคือ มักจะนิยมบรรเลง
เพลงเรื่อง โดยการบรรเลงเฉพาะดนตรี ไม่มีร้อง
             การบรรเลงเพลงเรื่อง โดยทั่วไปประกอบด้วยเพลงช้า เพลงสองไม้ เพลงเร็ว และจบลงด้วยเพลงลา เช่น เพลงเรื่องสร้อยสน ประกอบด้วยเพลงสร้อยสน เพลงพวงร้อย แล้วออกท้ายด้วยเพลงสองไม้ และเพลงเร็ว จบด้วยเพลงลา

เพลงโหมโรง
         เพลงโหมโรง หมายถึง เพลงที่บรรเลงในอันดับแรกสำหรับงานต่างๆ เพื่อเป็นการ
ประกาศให้รู้ว่า ขณะนี้งานดังกล่าวกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว และเป็นการบรรเลงเพื่อเคารพ
สักการะครูอาจารย์ และอัญเชิญเทพยดามายังสถานมงคลพิธีนั้นด้วย
เพลงโหมโรงแบ่งออกได้หลายลักษณะ ดังนี้
๑.  โหมโรงเช้า  ใช้บรรเลงในงานมงคลพิธีต่างๆ ซึ่งจะมีขึ้นในตอนเช้า เช่น งานที่รู้จักกันเป็นสามัญว่า งานสวดมนต์เย็นฉันเช้า  เพลงที่บรรเลง ได้แก่ สาธุการ  เหาะ  รัว  กลม ชำนาญ
๒.  โหมโรงกลางวัน  เป็นโหมโรงที่เกิดขึ้นจากประเพณีการแสดงมหรสพในสมัยโบราณ ถ้าเป็นการแสดงกลางวัน ซึ่งได้เริ่มแสดงตั้งแต่เช้ามาแล้ว เมื่อถึงเวลาเที่ยงจะต้อง
หยุดพักกลางวัน เพื่อให้ตัวละครและผู้บรรเลงดนตรี ตลอดจนผู้ร่วมงานการแสดงนั้น
ได้หยุดพักและรับประทานอาหารกลางวัน  โหมโรงกลางวัน ประกอบด้วยเพลงกราวใน เชิด  ชุบ  ลา  กระบองตัน  เสมอข้ามสมุทร  เชิดฉาน  ปลูกต้นไม้  ชายเรือ  รุกรัน  แผละ
เหาะ  โล้  วา
๓.  โหมโรงเย็น  เป็นเพลงชุดที่ใช้บรรเลงในตอนเย็นของงาน ในการเริ่มงานมงคลต่างๆ
ประกอบด้วยเพลง สาธุการ  ตระโหมโรง  รัวสามลา  ต้นชุบ  เข้าม่าน  ปฐม  ลา  เสมอ
รัว  เชิด  กลม  ชำนาญ  กราวใน  ต้นชุบ
๔.  โหมโรงเสภา  เกิดขึ้นครั้งแรกในสมัยรัชกาลที่ ๒ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ที่มีการนำเอา
ปี่พาทย์มาบรรเลงประกอบการขับเสภา  การโหมโรงเสภาใช้ลักษณะเดียวกันกับโหมโรง
ก่อนการแสดงละคร คือ ปี่พาทย์จะบรรเลงหน้าพาทย์ชุดต่างๆ จนกระทั่งถึงเพลงวา
แล้วจึงเริ่มการแสดง  ต่อมาเพื่อไม่ให้เสียเวลามาก ใช้บรรเลง เพลงวาเพลงเดียว จากนั้น
ก็เปลี่ยนมาใช้เพลงในอัตราสองชั้นและสามชั้นตามความนิยม แต่ก็ยังยึดถือกันว่า
ต้องจบด้วยทำนองตอนท้ายของเพลงวา  นอกจากนั้น ยังกำหนดให้บรรเลง เพลงรัว
ซึ่งเรียกกันเป็นสามัญว่า รัวประลองเสภา แล้วจึงบรรเลงเพลงโหมโรง
         ในปัจจุบัน การบรรเลงของวงปี่พาทย์ วงเครื่องสาย และวงมโหรี ก็ได้นำเอาวิธีการ
โหมโรงเสภานี้มาใช้ แต่ได้ตัดเพลงรัวประลองเสภาออกเสีย เริ่มต้นด้วยเพลงโหมโรง
และจบด้วยทำนองท้ายของเพลงวาเหมือนกัน และนิยมใช้บรรเลงกันอย่างแพร่หลาย
จนทุกวันนี้
เพลงหน้าพาทย์
          เพลงหน้าพาทย์ คือ เพลงที่ใช้บรรเลงประกอบกิริยา พฤติกรรมต่างๆ และอารมณ์
์ของตัวละคร เช่น เพลงโอดสำหรับร้องไห้ เสียใจ เพลงกราวรำสำหรับเยาะเย้ยสนุกสนาน
เพลงเชิดฉานสำหรับพระรามตามกวาง เพลงแผละสำหรับครุฑบิน เพลงคุกพาทย์สำหรับ
ทศกัณฐ์แสดงอิทธิฤทธิ์ความโหดร้าย หรือสำหรับหนุมานแผลงอิทธิฤทธิ์ หาวเป็นดาว
เป็นเดือน เป็นต้น  นอกจากนั้นยังหมายถึงเพลงที่บรรเลงประกอบกิริยาสมมุติที่แลไม่เห็น
ตัวตน เช่น เพลงสาธุการ เพลงตระเชิญ เพลงตระนิมิต เพลงกระบองกัน สำหรับเชิญเทพยดาให้เสด็จมา แต่ไม่มีใครมองเห็นการเสด็จมาของเทพยดาในเวลานั้น เช่น บรรเลงประกอบพิธีไหว้ครู ครอบครูดนตรีและนาฎศิลป์ และยังเป็นเพลงที่บรรเลง
ประกอบกิริยาที่เป็นอดีต ไม่ใช่ปัจจุบัน เช่น เมื่อพระเทศน์มหาชาติกัณฑ์มัทรีจบลง ปี่พาทย์บรรเลงเพลงทยอยโอด คือ บรรเลงเพลงโอดกับเพลงทยอยสลับกัน เพื่อประกอบกิริยาคร่ำครวญ โศกเศร้า เสียใจของพระนางมัทรี ตัวเอกของกัณฑ์นี้ เมื่อทราบว่าพระเวสสันดรได้บริจาค 2 กุมาร กัณหาและชาลีให้แก่พราหมณ์ชูชกไป
พระได้เทศน์เรื่องนี้จนจบลงแล้ว แต่ปี่พาทย์เพิ่งจะบรรเลงเพลงประกอบเรื่อง อย่างนี้ถือว่าเป็นการบรรเลงประกอบกิริยาสมมุติที่เป็นอดีต เป็นต้น
         เพลงหน้าพาทย์นิยมบรรเลงดนตรีเพียงอย่างเดียว ไม่มีร้อง
เพลงหน้าพาทย์แบ่งตามฐานันดร  แบ่งออกเป็น ๒ ชนิด คือ
๑. หน้าพาทย์ธรรมดา ใช้บรรเลงประกอบกิริยาอารมณ์ของตัวละครที่เป็นสามัญชน เป็นเพลงหน้าพาทย์ไม่บังคับความยาว การจะหยุด ลงจบ หรือเปลี่ยนเพลง ผู้บรรเลงจะต้องดูท่ารำของตัวละครเป็นหลัก เพลงหน้าพาทย์ชนิดนี้โดยมากใช้กับ
การแสดงลิเกหรือละคร เช่น เพลงเสมอ เพลงเชิด เพลงรัว เพลงโอด
๒. หน้าพาทย์ชั้นสูง   ใช้บรรเลงประกอบกิริยา อารมณ์ของตัวละครผู้สูงศักดิ์หรือ
เทพเจ้าต่างๆ เป็นเพลงหน้าพาทย์ประเภทบังคับความยาว ผู้รำจะต้องยืดทำนองและจังหวะ
ของเพลงเป็นหลักสำคัญ จะตัดให้สั้นหรือเติมให้ยาวตามใจชอบไม่ได้ โดยมากใช้กับการแสดงโขน ละคร และใช้ในพิธีไหว้ครู ครอบครูดนตรีปละนาฎศิลป์ เช่น เพลงตระนอน  เพลงกระบองกัน  เพลงตระบรรทมสินธุ์  เพลงบาทสกุณี  เพลงองค์พระพิราพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพลงอนงค์พระพิราพ ถือกันว่าเป็นเพลงหน้าพาทย์ชั้นสูงสุดในบรรดาเพลงหน้าพาทย์ทั้งหลาย
เพลงหน้าพาทย์แบ่งตามหน้าที่การนำไปใช้ประกอบการแสดงของตัวละคร  แบ่งได้ ๗ ลักษณะ คือ
๑. เพลงหน้าพาทย์ประกอบกิริยาไปมา ได้แก่
        เพลงเสมอ       ใช้ประกอบกิริยาการเดินทางระยะใกล้ ไปช้าๆ ไม่รีบร้อน
        เพลงเชิด        ใช้ประกอบกิริยาการเดินทางระยะไกลไปมาอย่างรีบร้อน
        เพลงโคมเวียน  ใช้ประกอบกิริยาการเดินทางในอากาศของเทวดาและนางฟ้า
        เพลงแผละ      ใช้ประกอบกิริยาการไปมาของสัตว์มีปีก เช่น นก ครุฑ
        เพลงชุบ         ใช้ประกอบกิริยาไปมาของตัวละครศักดิ์ต่ำ เช่น นางกำนัล
๒. เพลงหน้าพาทย์ประกอบการยกทัพ  ได้แก่
        เพลงกราวนอก  สำหรับการยกทัพของมนุษย์ ลิง
        เพลงกราวใน    สำหรับการยกทัพของยักษ์
๓. เพลงหน้าพาทย์ประกอบความสนุกสนานร่าเริง  ได้แก่
        เพลงกราวรำ    สำหรับกิริยาเยาะเย้ย
        เพลงสีนวล  เพลงช้า  เพลงเร็ว  สำหรับแสดงความรื่นเริง
        เพลงฉุยฉาย แม่ศรี สำหรับแสดงความภูมิใจในความงาม
๔. เพลงหน้าพาทย์ประกอบการแสดงอิทธิฤทธิ์ปาฎิหารย์ ได้แก่
        เพลงตระนิมิตร  สำหรับการแปลงกาย ชุบคนตายให้ฟื้น
        เพลงคุกพาทย์   สำหรับการแสดงอิทธิฤทธิ์ หรือเหตุการณ์อันน่าสะพรึงกลัว
        เพลงรัว          ใช้ทั่วไปในการสำแดงเดช หรือแสดงปรากฎการณ์โดยฉับพลัน
๕. เพลงหน้าพาทย์ประกอบการต่อสู้และและติดตาม ได้แก่
        เพลงเชิดนอก    สำหรับการต่อสู้หรือการไล่ติดตามของตัวละครที่ไม่ใช่มนุษย์ เช่น หนุมานไล่จับนางสุพรรณมัจฉา  หนุมานไล่จับนางเบญกาย
        เพลงเชิดฉาน   สำหรับตัวละครที่เป็นมนุษย์ไล่ตามสัตว์ เช่น พระรามตามกวาง
        เพลงเชิดกลอง   สำหรับการต่อสู้  การรุกไล่ฆ่าฟันกันโดยทั่วไป
        เพลงเชิดฉิ่ง     ใช้ประกอบการรำก่อนที่จะใช้อาวุธสำคัญหรือก่อนกระทำกิจสำคัญ
๖. เพลงหน้าพาทย์ประกอบการแสดงอารมณ์ทั่วไป ได้แก่
        เพลงกล่อม      สำหรับการขับกล่อมเพื่อการนอนหลับ
        เพลงโลม        สำหรับการเข้าพระเข้านาง  การเล้าโลมด้วยความรัก
        เพลงโอด        สำหรับการร้องไห้
        เพลงทยอย      สำหรับอารมณ์เสียใจ เศร้าใจขณะที่เคลื่อนที่ไปด้วย เช่น เดินพลางร้องไห้พลาง
๗. เพลงหน้าพาทย์เบ็ดเตล็ด ได้แก่
        เพลงตระนอน   แสดงการนอน
        เพลงลงสรง      สำหรับการอาบน้ำ
        เพลงเซ่นเหล้า   สำหรับการกิน การดื่มสุรา
        เพลงหน้าพาทย์ทั้ง ๗ ลักษณะ ล้วนเป็นเพลงหน้าพาทย์ที่นำมาใช้ในการแสดงต่างๆ เช่น ลิเก ละครและโขนอยู่บ่อยๆ
เพลงหางเครื่อง
         เพลงหางเครื่อง คือ เพลงเล็กๆ สั้นๆ แปลกๆ ที่บรรเลงต่อจากเพลงแม่บท
(เพลงเถาหรือเพลงสามชั้น) โดยทันทีทันใดหลังจากที่บรรเลงเพลงนั้นจบลงแล้ว
บางครั้งเรียกว่า เพลงลูกบท เพราะใช้บรรเลงเพลงต่อจากเพลงแม่บท  เพลงหางเครื่อง
เป็นเพลงในอัตราจังหวะสองชั้นหรือชั้นเดียว ที่มีท่วงทำนองค่อนข้างเร็ว กระฉับกระเฉง
ให้ความเพลิดเพลินสนุกสนาน ละเป็นเพลงที่มีเสียงและสำเนียงเดียวกันกับแม่บท
ที่บรรเลงนำมาก่อน เช่น บรรเลงเพลงแขกมอญบางขุนพรหม (เถา) จบแล้ว บรรเลง
ต่อท้ายด้วยเพลงมอญมอบเรืออัตราจังหวะสองชั้น เพลงมอญมอบเรือ (สองชั้น) ก็เรียกว่า
เพลงหางเครื่อง หรือบรรเลงเพลงเขมรไทรโยค (สามชั้น) จบแล้ว บรรเลงต่อท้ายด้วย
เพลงมยุราภิรมย์ หรือระบำลพบุรี
         การบรรเลงเพลงหางเครื่องจะจบด้วยการออกลูกหมดเสมอ และนิยมบรรเลง
เฉพาะดนตรีอย่างเดียว ไม่มีร้อง

         เพลงไทย ที่ใช้ขับร้องและบรรเลงในปัจจุบันนี้ มีทั้งเพลงเก่าสมัยโบราณ
เพลงที่ดัดแปลงจากของเก่า และเพลงที่แต่งขึ้นใหม่ แยกเป็นประเภทต่างๆ ตามลักษณะ
และวิธีใช้ได้หลายประเภท ได้แก่

เพลงตับ
         เพลงตับหมายถึง เพลงที่บรรเลงเป็นเรื่อง มีแขนงย่อยแบ่งออกเป็น ตับเรื่อง
และตับเพลง
๑. ตับเรื่อง  หมายถึง เพลงที่นำมารวมร้องและบรรเลงติดต่อกัน มีบทร้องที่เป็นเรื่อง เดียวกันและดำเนินไปโดยลำดับ ฟังแล้วรู้เรื่องโดยตลอดตั้งแต่ต้นจนจบ
ส่วนทำนองเพลงจะเป็นคนละอัตรา คนละประเภท หรือหมายถึง เพลงที่ร้องและบรรเลง
ประกอบการแสดงโขนและละครที่เป็นเรื่อง เป็นชุด หรือเป็นตอน ตัวอย่างของเพลงตับเรื่อง เช่น ตับนางลอย  ตับพระลอ(ตับเจริญศรี)และตับนางซินเดอริลลา

ตับนางลอย ได้แก่เพลง ยานี  เชิดฉิ่ง  แขกต่อยหม้อ  โล้  ช้าปี่  หรุ่ม  ร่าย  เต่าเห่
ตะลุ่มโปง  พ้อ  ขวัญอ่อน  กล่อมพญา พราหมณ์เก็บหัวแหวน  แขกบรเทศ  เชิดนอก
     
ตับพระลอ(ตับเจริญศรี) ได้แก่เพลง เกริ่น  ลาวเล็กตัดสร้อย  ลาวเล่นน้ำ  สาวกระตุกกี่
กระแตเล็ก  ดอกไม้เหนือ  ลาวเฉียง ลาวครวญ  ลาวกระแช
   
ตับนางซินเดอริลลา  ได้แก่เพลงวิลันดาโอด  ฝรั่งจรกา  ครอบจักรวาล  ฝรั่งรำเท้า
เวสสุกรรม  หงส์ทอง

๒. ตับเพลง  หมายถึง เพลงที่นำมารวมร้องและบรรเลง จะต้องมีสำนวนทำนองสอดคล้อง
ต้องกัน คือ มีเสียงขึ้นต้นเพลงคล้ายๆ กัน คือ สำเนียงคล้ายๆ กัน เป็นเพลงในอัตราจังหวะ
เดียวกัน เช่น เป็นสองชั้นเหมือนกัน หรือสามชั้นเหมือนกัน  ส่วนบทร้องจะมีเนื้อเรื่อง
อย่างไร เรื่องเดียวกันหรือไม่ ไม่ถือเป็นสิ่งสำคัญ  ตัวอย่างตับเพลง เช่น ตับลมพัดชายเขา (สามชั้น)  ตับต้นเพลงฉิ่ง (สามชั้น)  และตับต้นเพลงฉิ่ง (สองชั้น)

ตับลมพัดชายเขา (สามชั้น)  ได้แก่เพลง ลมพัดชายเขา  แขกมอญบางช้าง  ลมหวน
เหราเล่นน้ำ

ตับต้นเพลงฉิ่ง (สามชั้น)  ได้แก่เพลง ต้นเพลงฉิ่ง  จระเข้หางยาว  ตวงพระธาตุ  นกขมิ้น

ตับต้นเพลงฉิ่ง (สองชั้น)  ได้แก่เพลง ต้นเพลงฉิ่ง  สามเส้า  ตวงพระธาตุ  นกขมิ้น
ธรณีร้องไห้

เพลงภาษาและการออกภาษา
         เพลงภาษา หมายถึง เพลงไทยที่มีชื่อขึ้นต้นเป็นชื่อของชาติอื่น ภาษาอื่น เช่น เพลงจีนขิมเล็ก เพลงเขมรพายเรือ เพลงมอญรำดาบ เพลงมอญรำดาบ เพลงพม่ารำขวาน เพลงแขกยิงนก เพลงฝั่งรำเท้า เป็นต้น   เพลงภาษาเป็นเพลงที่นักดนตรีไทยได้แต่งขึ้นเอง โดยเลียนสำเนียงภาษาต่างๆ เหล่านั้น เป็นเพลงอัตราจังหวะสองชั้นคล้ายๆ กับเพลง
หางเครื่อง ต่างกันที่ว่าเพลงหางเครื่องนิยมบรรเลงต่อท้าย เพลงแม่บทที่บรรเลงนำมาก่อน
เพียง ๑ เพลงหรือ ๒ เพลงเท่านั้น และต้องเป็นเพลงที่มีเสียงหรือสำเนียง เดียวกันกับ
เพลงแม่บท ส่วนเพลงภาษาบางทีบรรเลงติดต่อกัน ไปหลายๆ ภาษา หรือที่เรียกว่า "ออกภาษา" หรือ "ออกสิบสองภาษา"  วิธีออกภาษาตามระเบียบแบบแผนวิธีการบรรเลง
เพลงภาษา ที่นิยมใช้ บรรเลงกันอยู่โดยทั่วไปนั้น มีหลักอยู่ว่า ต้องออก ๔ ภาษาแรก คือ จีน เขมร ตะลุง พม่า แล้วจึงออกภาษาอื่นๆ ต่อไป ซึ่งสมัยก่อนคงจะมีถึง ๑๒ ภาษา จึงมักนิยมเรียกกันติดปากว่า "ออกสิบสองภาษา"
        การบรรเลงเพลงภาษาและออกภาษานี้ เป็นที่นิยมกันมาก บางทีบรรเลงเพลง
สามชั้นสำเนียงแขก ก็ออกภาษาแขกต่อท้าย บางทีก็นำเพลงภาษามาบรรเลง ๒-๓ เพลง ติดต่อกัน บางทีก็นำเพลงภาษาไปใช้ ในละครพันทาง บางครั้งก็ใช้สำหรับวงปี่พาทย์
์นางหงส์ ที่บรรเลงในงานศพเพื่อเป็นการผ่อนคลายความเศร้าโศก
         เพลงออกภาษาที่ใช้บรรเลงกันมาแต่เดิม ใช้บรรเลงเฉพาะดนตรีล้วนๆ ไม่มีร้อง ในปัจจุบัน บางครั้ง ได้มีการนำเอาเนื้อร้องเข้าประกอบเพลงภาษาด้วย เพื่อเป็นการสร้าง
ความสนุกสนาน เพลิดเพลินแก่ผู้ชม และผู้ฟังได้อีกแบบหนึ่ง

เพลงลูกหมด
          เพลงลูกหมด เป็นเพลงเล็กๆ สั้นๆ มีจังหวะเร็ว เทียบเท่าเพลงชั้นเดียว  สำหรับ
บรรเลงต่อท้ายเพลงต่างๆ เพื่อแสดงว่าจบเพลงหรือที่เรียกกันเป็นสามัญว่า"ออกลูกหมด"
การบรรเลงเพลงลูกหมดหรือการออกลูกหมดนนี้  นอกจากจะมีความหมายว่า
เพลงได้จบลงแล้ว ยังเป็นการให้เสียงกับคนร้อง ช่วยให้คนร้อง ร้องได้ตรงกับระดับ
เสียงของวงดนตรีที่บรรเลง คนร้องที่มีความสามารถ เมื่อดนตรีบรรเลงเพลงลูกหมด
จบลงแล้ว ก็ร้องเพลงได้ทันทีโดยไม่ต้องรอนักดนตรีให้เสียง  เพลงลูกหมดมักจะ
ใช้บรรเลงต่อจากเพลงสามชั้น เพลงเถา และเพลงหางเครื่อง แล้วแต่กรณีและไม่มีร้อง
เพลงเดี่ยว
         เพลงเดี่ยว   เป็นการบรรเลงโดยเครื่องดนตรีสร้างทำนองเพียงเครื่องเดียว
โดยมีเครื่องเคาะจังหวะบรรเลงประกอบด้วย   ปกติเพลงที่ใช้บรรเลงเดี่ยวจะเป็นเพลง
ขับร้อง และบรรเลงหมู่ทั่วไป แต่จะมีลูกเล่นกลเม็ดในการบรรเลงแพรวพราวมากยิ่งขึ้น
ไปกว่าตอนบรรเลงหมู่ ทั้งนี้เพื่อเป็นการแสดงความสามารถทั้งการแปรทำนองที่วิจิตร
พิสดารของผู้แปร, ความแม่นยำในการจดจำลูกเล่น และความช่ำชองในการใช้
้เครื่องดนตรีของผู้เล่น มักจะเลือกเอาเพลงที่มีเสียงครบ ๗ เสียง เพราะเพลงไทย
บางเพลงมีเพียง ๕ เสียง จึงไม่เหมาะกับการบรรเลงเดี่ยว  เพลงเดี่ยวหรือการเดี่ยว
ด้วยเครื่องดนตรีมีหลายแบบ คือ
         การเดี่ยวด้วยเครื่องดนตรีชิ้นเดียวตลอดเพลง  เช่น ซออู้ ใช้เพลงแขกมอญ หรือ
เพลงกราวใน เพราะเป็นเครื่องดนตรีที่มีเสียงทุ้มเสียงใหญ่  ซอด้วง ใช้เพลงเชิดนอก
เพลงพญาโศกฯ เพราะเป็นเครื่องดนตรีที่เสียงแหลมเล็ก  นอกจากนั้น เพลงเดี่ยวที่
นิยมกันทั่วไปได้แก่ แขกมอญ  สารถี  พญาโศก  ลาวแพน  นกขมิ้น  เชิดนอก  กราวใน
ทยอย  อาหนู  อาเฮีย  แป๊ะ  การะเวก  ม้าย่อง  นารายณ์แปลงรูป  ดอกไม้ไทร  ต่อยรูป
         การเดี่ยวด้วยเครื่องดนตรีแต่ละชิ้นในวงดนตรี  มักจะเป็นวงปี่พาทย์ และเริ่มด้วยปี่ใน
ระนาดเอก ฆ้องวงใหญ่ ฆ้องวงเล็ก ระนาดทุ้ม ตามลำดับ  ส่วนจะบรรเลงเพลงใดก่อน
ขึ้นอยู่กับความพร้อมของนักดนตรีที่ร่วมวงกันอยู่ รวมทั้งสถานการณ์ในขณะนั้น
เป็นส่วนประกอบด้วย
         เครื่องดนตรีอื่นๆ ที่บรรเลงร่วมกับการเดี่ยว ได้แก่ กลองสองหน้าและฉิ่ง

         นอกจากนี้ ประเภทของเพลง   หรือเรียกอีกนัยหนึ่งว่า "ทางเพลง" สามารถ
แบ่งออกได้ดังนี้

เพลงทางพื้น คือเพลงที่มีทำนองเต็ม มักเป็นเพลงที่มีการบรรเลงแบบเก็บ
(เสียงโน้ตสั้นเป็นตัวๆ ไม่ลากยาว) เป็นหลัก

เพลงทางกรอ    คือเพลงที่ดำเนินทำนองช้าๆ ห่างๆ เสียงดนตรีจะมีความ
ต่อเนื่องยาวๆ   หากเป็นระนาด หรือฆ้อง ก็จะเล่นแบบกรอ หรือตีรัวถี่ๆ
ยืดเสียงตัวโน้ตให้ยาวออกไป เพลงประเภทนี้ ได้แก่เพลงเขมรไทรโยค
เพลงแสนคำนึง เป็นต้น

เพลงลูกล้อ-ลูกขัด    คล้ายการหยอกล้อกันของเครื่องดนตรี โดยแบ่งเป็น 2
กลุ่มคือ กลุ่มนำ-ได้แก่เครื่องดนตรีที่มีเสียงสูง เช่น ซอด้วง ระนาดเอก..
และกลุ่มตาม- ได้แก่เครื่องดนตรีเสียงต่ำ เช่น ซออู้ ่ระนาดทุ้ม...โดย
บรรเลงในลีลาต่างๆ ดังนี้

ลูกล้อ - กลุ่มนำจะบรรเลงไปก่อน เมื่อจบห้องแล้วกลุ่มตามก็จะบรรเลง
ล้อเลียนในทำนองเช่นเดิม

ลูกต่อ - กลุ่มนำจะบรรเลงเพลงประโยคแรกก่อน จากนั้นกลุ่มตามก็จะ
บรรเลงประโยคที่เหลือต่อซึ่งไม่เหมือนกัน

ลูกเหลื่อม (ล้วง) – ขณะที่กลุ่มนำบรรเลงไปได้เพียงส่วนหนึ่งของท่อน
เพลง กลุ่มตามก็จะเริ่มบรรเลงท่อนเดียวกันนี้ตามมา จึงทำให้ประโยค
เพลงท่อนดังกล่าวมีความเหลื่อมๆ กัน

องค์ประกอบของดนตรีไทย

องค์ประกอบของดนตรีไทย

1.เสียงของดนตรีไทย
เสียงดนตรีไทยประกอบด้วยระดับเสียง 7 เสียง แต่ละเสียงมีช่วงห่างเท่ากันทุกเสียง เสียงดนตรีไทย แต่ละเสียงเรียกชื่อแตกต่างกันไป ในดนตรีไทยเรียกระดับเสียงว่า “ทาง” ในที่นี้ ก็คือ ระดับเสียงของเพลงที่บรรเลงซึ่งกำหนดชื่อเรียกเป็นที่หมายรู้กันทุกๆเสียง  จำแนกเรียงลำดับขึ้นไปทีละเสียง

 2. จังหวะของดนตรีไทย
“จังหวะ”   มีความหมายถึงมาตราส่วนของระบบดนตรีที่ดำเนินไปในช่วงของการ
บรรเลงเพลงอย่างสม่ำเสมอ เป็นตัวกำหนดให้ผู้บรรเลงจะต้องใช้เป็นหลักในการ    บรรเลงเพลง

จังหวะของดนตรีไทยจำแนกได้   3 ประเภท คือ  
1. จังหวะสามัญ หมายถึงจังหวะทั่วไปที่นักดนตรียึดเป็นหลักสำคัญในการบรรเลง
และขับร้องโดยปกติจังหวะสามัญที่ใช้กันในวงดนตรีจะมี  3 ระดับ คือ
จังหวะช้า                 ใช้กับเพลงที่มีอัตราจังหวะ   สามชั้น
จังหวะปานกลาง     ใช้กับเพลงที่มีอัตราจังหวะ   สองชั้น
จังหวะเร็ว                ใช้กับเพลงที่มีอัตราจังหวะ   ชั้นเดียว

2. จังหวะฉิ่ง หมายถึง  จังหวะที่ใช้ฉิ่งเป็นหลักในการตี โดยปกติจังหวะฉิ่งจะตี “ฉิ่ง…ฉับ”
สลับกันไปตลอดทั้งเพลง แต่จะมีเพลงบางประเภทตีเฉพาะ “ฉิ่ง” ตลอดเพลง
บางเพลงตี “ฉิ่ง  ฉิ่ง  ฉับ” ตลอดทั้งเพลง หรืออาจจะตีแบบอื่นๆ ก็ได้  จังหวะฉิ่งนี้
นักฟังเพลงจะใช้เป็นแนวในการพิจารณาว่าช่วงใดเป็นอัตราจังหวะสามชั้น สองชั้น
หรือ ชั้นเดียวก็ได้ เพราะฉิ่งจะตีเพลงสามชั้นให้มีช่วงห่างตามอัตราจังหวะของเพลง  หรือ ตีเร็วกระชั้นจังหวะ ในเพลงชั้นเดียว

3. จังหวะหน้าทับ หมายถึงเกณฑ์การนับจังหวะที่ใช้เครื่องดนตรีประเภทเครื่องตี
ประเภทหนังซึ่งเลียนเสียงการตีมาจาก “ทับ”  เป็นเครื่องกำหนดจังหวะ
เครื่องดนตรีเหล่านี้ ได้แก่ ตะโพน กลองแขก สองหน้า โทน - รำมะนา หน้าทับ

3. ทำนองดนตรีไทย
ลักษณะทำนองเพลงที่มีเสียงสูงๆ ต่ำๆ สั้นๆ ยาวๆ สลับ คละเคล้ากันไป ตามจินตนาการ
ของคีตกวีที่ประพันธ์  บทเพลงซึ่งลักษณะดังกล่าวนี้เหมือนกันทุกชาติภาษา
จะมีความแตกต่างกันตรงลักษณะประจำชาติที่มีพื้นฐานทางสังคม วัฒนธรรม ไม่เหมือนกัน
เช่น เพลงของอเมริกัน อินโดนีเซีย อินเดีย จีน ไทย  ย่อมมีโครงสร้างของทำนองที่ แตกต่างกัน  ทำนองของดนตรีไทยประกอบด้วยระบบของเสียง  การเคลื่อนที่ของเสียง
ความยาว  ความกว้างของเสียง และระบบหลักเสียงเช่นเดียวกับทำนองเพลงทั่วโลก

1. ทำนองทางร้อง  เป็นทำนองที่ประดิษฐ์เอื้อนไปตามทำนองบรรเลงของเครื่องดนตรี
และมีบทร้องซึ่งเป็นบทร้อยกรอง ทำนองทางร้องคลอเคล้าไปกับทำนองทางรับหรือร้อง
อิสระได้ การร้องนี้ต้องถือทำนองเป็นสำคัญ
2. ทำนองการบรรเลง หรือทางรับ เป็นการบรรเลงของเครื่องดนตรีในวงดนตรี
ซึ่งคีตกวีแต่งทำนองไว้สำหรับบรรเลง ทำนองหลักเรียกลูกฆ้อง “Basic Melody”
เดิมนิยมแต่งจากลูกฆ้องของฆ้องวงใหญ่ และแปรทางเป็นทางของเครื่องดนตรีชนิดต่างๆ
ดนตรีไทยนิยมบรรเลงเพลงในแต่ละท่อน 2 ครั้งซ้ำกัน ภายหลังได้มีการแต่งทำนองเพิ่ม
ใช้บรรเลงในเที่ยวที่สองแตกต่างไปจากเที่ยวแรกเรียกว่า “ทางเปลี่ยน”

4. การประสานเสียง
เป็นการทำเสียงดนตรีพร้อมกัน 2 เสียง พร้อมกันเป็นคู่ขนานหรือเหลื่อมล้ำกันตามลีลา
เพลงก็ได้
1. การประสานเสียงในเครื่องดนตรีเดียวกัน เครื่องดนตรีบางชนิดสามารถบรรเลง
สอดเสียงพร้อมกันได้  โดยเฉพาะทำเสียงขั้นคู่   (คู่2  คู่3  คู่4  คู่5  คู่6  และ คู่7)
2. การประสานเสียงระหว่างเครื่องดนตรี คือ การบรรเลงดนตรีด้วยเครื่องดนตรีต่างชนิดกัน
 สุ้มเสียง และความรู้สึกของเครื่องดนตรีเหล่านั้น ก็ออกมาไม่เหมือนกัน แม้ว่าจะบรรเลง เหมือนกันก็ตาม
3.การประสานเสียงโดยการทำทาง  การแปรทำนองหลักคือ ลูกฆ้อง “Basic Melody”
ให้เป็นทำนองของเครื่องดนตรีแต่ละชนิดเรียกว่า “การทำทาง” ทางของเครื่องดนตรี
(ทำนอง)แต่ละชนิดไม่เหมือนกันดังนั้นเมื่อบรรเลงเป็นวงเครื่องดนตรีต่างเครื่อง
ก็จะบรรเลงตามทางหรือทำนองของตน โดยถือทำนองหลักเป็นสำคัญของการบรรเลง

ประวัติครูดนตรีไทย

ประวัติผู้ก่อตั้ง


ศิลปินผู้ทรงคุณค่า ครูเตือน พาทยกุล
ครูเตือน พาทยกุล เกิด เมื่อวันเสาร์ เดือน 3 ขึ้น 3 ค่ำ ปีมะเส็ง ตรงกับวันที่ 27 มกราคม 2448 ที่อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบุรี บิดาชื่อ นายพร้อม พาทยกุล เป็นช่างทำทอง และเป็นนักดนตรี หัวหน้าวงปี่พาทย ที่ัจังหวัดเพชรบุรี มารดาชื่อ นางตุ่น พาทยกุล มีน้องสาวคนเดียวแต่ถึงแก่กรรมเมื่อยังเด็ก นายเตือน พาทยกุล สมรสกับนางกิมไล้ เมื่อ พ.ศ. 2471 มีบุตรชายหญิงรวม 4 คน เป็นชาย 1 คน หญิง 3 คน ต่อมานางกิมไล้ถึงแก่กรรม จึงได้สมรสกับนางบุญเรือง เมื่อ พ.ศ. 2485 มีบุตรชายหญิงรวม 4 คน เป็นชาย 2 คน หญิง 2 คน



กรมพระยานริศรานุวัติวงศ์
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจิตรเจริญ กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์

พระประวัติ
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์   เป็นพระราชโอรสของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  และพระสัมพันธวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพรรณราย ทรงมีพระนามเดิมว่า  “ พระองค์เจ้าจิตรเจริญ “  เป็นพระราชโอรสองค์ที่  62  ทรงเป็นต้นราชสกุล “ จิตรพงศ์ ”

            ประสูติเมื่อวันอังคาร เดือน 6  ชึ้น 11 ค่ำ ปีกุน  จ.ศ. 1225  ตรงกับวันที่  28  เมษายน  พ.ศ. 2406  ภาย ในพระบรมมหาราชวัง ทรงได้รับพระราชทานนามจากพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวว่า “ พระเจ้าลูกเธอ พระองค์เจ้าจิตรเจริญ สิงหนาม “ ทรงมีพระเชษฐภคินีร่วมพระมารดาพระองค์เดียวคือ  “ พระองค์เจ้าหญิงกรรณิกา “

 ปี พ.ศ. 2428  พระองค์ทรงได้รับการสถาปนาจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ขึ้นเป็น พระองค์เจ้าต่างกรม  มีพระนามว่า “ พระเจ้าน้องยาเธอ กรมขุนนริศรานุวัติวงศ์ “

            วันที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2490  พระองค์ทรงสิ้นพระชนม์โดยสงบ  มีพระชันษา 83 ปี   มีการจัดพิธีพระราชทานพระเพลิงพระศพ ณ ท้องสนามหลวง เมื่อวันที่ 11 เมษายน  พ.ศ. 2493  โดยใช้พระเมรุองค์เดียวกับพระเมรุมาศของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล

            พระองค์ ทรงรับราชการสนองในตำแหน่งต่าง ๆ เช่น เสนาบดีกระทรวงโยธาธิการ, เสนาบดีกระทรวงพระคลัง , เสนาบดีกระทรวงกลาโหม , ผู้บังคับบัญชากรมยุทธนาธิการ , ผู้บัญชาการทหารเรือ  พระ บาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงสถาปนาพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนนริศรานุวัติวงศ์ ขึ้นเป็น “ สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงนริศรานุวัติวงศ์ “ในปี พ.ศ. 2448

            ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว  พระองค์ยังคงรับราชการส่วนพระองค์  โดยทรง ออกแบบงานต่าง ๆ ตามพระราชประสงค์เช่น พระโกศพระบรมอัฐิและพระวิมานทองคำลงยาราชาวดีสำหรับประดิษฐานพระบรมอัฐิพระ บาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  เป็นตัน  พระ บาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรง มีพระบรมราชโองการเลื่อนกรมสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงนริศรานุวัติวงศ์ ขึ้นเป็น “ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัติวงศ์ “




ครูช้อย สุนทรวาทิน

 ครูช้อย สุนทรวาทิน เป็นอัจฉริยะทางดนตรีไทยผ ู้เปี่ยมทั้ง ฝีมือ และวิชาความ รู้ แต่งเพลงอมตะไว้หลายเพลงเช่น โหมโรงครอบจักรวาล แขกลพบุรี 3 ชั้น แขกโอด 3 ชั้น ใบ้คลั่ง 3 ชั้น เขมรปี่แก้ว 3 ชั้น เขมรโพธิสัตว์ 3 ชั้น อกทะเล 3 ชั้น ด้านฝีมือมีชื่อเสียงทั้ง ปี่ ระนาด และ ฆ้อง นอกจากนั้นท่านยังเป็น "ยอดครูดนตรีไทย" มีลูกศิษย์มากและหลายท่านมีชื่อเสียง เยี่ยม เป็น "ครูผู้ใหญ่"ในยุคต่อมาเช่น พระยาประสานดุริยศัพท์ (แปลก ประสานศัพท์) พระยาเสนาะ ดุริยางค์ (แช่ม สุนทรวาทิน) ครูเพชร จรรย์นาฎ พระประดับดุริยกิจ (แหยม) พระพิณบรรเลงราช (แย้ม) เป็นต้น
          เรื่องที่น่าแปลกก็คือ ท่านเป็นนักดนตรีที่ตาบอดสนิ ทมาตั้งแต่ 3 ขวบ แต่อัจฉริย ภาพทางดนตรีของท่านเหนือกว่าคนตาดีรุ่นราวคราวเดียวกับท่านทั้งในด้านวิชาฝีมือ และการถ่ายทอดวิชาดนตรีจนกล่าวได้ว่าท่านเป็นหลักของวงการดนตรีไทยสืบต่อจาก พระประดิษฐ์ไพเราะ (ครูมีแขก)
          ครู ช้อย เป็นบุตร ครูทั่ง ซึ่งเป็นครูดนตรีผ ู้ใหญ่รุ่นใกล้เคียงกับ พระประดิษฐ์ ไพเราะ (ครูมีแขก) ครูช้อยนัยตาบอดทั้งสองข้างเพราะไข้ทรพิษตั้ง แต่อายุ 3 ขวบ ครู ทั่งจึงมิได้สอนวิชาดนตรีให้อย่างจริงจังแต่ท่านเป็นอัจฉริยะสามารถจำเพลง ได้แม่น ยำและฝึกฝนด้วยตนเองจนมีฝีมือดี มีอยู่คราวหนึ่งคนระนาดประจำวงครูทั่งป่วยกระทันหัน ครูช้อยสามารถ บรรเลงแทนได้เป็นอย่างดี บิดาจึงทุ่มเทสอนวิชาดนตรีให้เต็มที่ ด้วยอัจฉริยภาพยอดเยี่ยมท่านจึงศึกษาจนแตก ฉานและพัฒนาความรู้ให้งอกเงยออกไป จนมีความรอบรู้และเชี่ยวชาญทั้งการบรรเลงปี่พาทย์และมโหรี จนมีชื ่อเสียงโด่งดังยิ่ง กว่าครูทั่งผู้เป็นบิดา
          คุณ ย่าไผ่ ภรรยาของท่านเล่าให้ ครูเลื่อน สุนทรวาทิน ผู้เป็นหลานปู่ของท่าน ฟังว่า ครูช้อยสีซอสามสายด ีและใส่สายซอได้ทั้งๆที่ท่านตาบอดแต่มีโสตประสาท และการใช้มือสัมผัสได้ละเอียดอ่อน ใช้มือแทนตาได ้เป็นอย่างดี ครูเพชร จรรย์นาฎ ศิษย์รุ่นเล็กของท่านเล่าว่า เวลาลูกศิษย์ซ้อมเพลง ถ้าใครบกพร่องผิดพลาดท ่านจะดีดเม็ดมะขามให้ถูกคนนั้นเพื่อเตือนให้รู้ตัวได้ อย่างแม่นยำ พร้อมกับอธิบายด้วยวาจาให้รู้ข้อบกพร่อ งนั้นไปด้วย ศิษย์ของท่านจึงมีความรู้และฝีมือดีกันทุกคน
          ในด้านฝีมือดนตรี ครูช้อย เชี่ยวชาญทั้ง ระนาด ปี่ ฆ้อง จึงน่าจะเป็นผู้ที่พัฒนาวิธีบรรเลงระนาดเอกให้ประณีตแยบยลไพเราะกว่าที่เคยบรรเลงกันมาแต่เด ิมอีก ด้วยดังจะได้อธิบายและแสดงเหตุผลเป็นเรื่องๆ ไปดังนี้
          ในด้านการบรรเลงระนาดเอกแม้ว่าครูช้อยจ ะไม่มีชื่อเสียงโด่งดังเท่า ระนาด ขุนเณร (พระเสนาะดุริยางค์) ซึ่งน่าจะเป็นคนรุ่นราวคราวเดียวกันแต่ถ้า ดูจากฝีมือของ ลูกและลูกศิษย์จะเห็นได้ชัดว่าท่านต้องแตกฉานเรื่องระนาดเอกมากทีเดียวยกตัวอย่าง เช่น พ ระยาเสนาะดุริยางค์ (แช่ม สุนทรวาทิน) บุตรคนโตของครูช้อย ตามประวัติไม่ เคยเป็นศิษย์ครูคนอื่นอย่างเป็นกิ จจะลักษณะ เรียนเต็มที่กับบิดาเท่านั้น แต่ก็แตกฉาน ทั้ง ระนาด ปี่ ฆ้อง และเครื่องดนตรีอื่นๆอีกมากมาย โดยเฉพาะ ระนาดเอก นั้นมีชื่อ เสียงโด่งดังสืบต่อจากระนาดขุนเณร เลื่องลือมากในช่วงกลางรัชกาลที่ 5 ฝีมืออันเป็น เลิศนั้นนอกจากเพราะอัจฉริยภาพส่วนตัวแล้วยังต้องได้รับการฝึกสอนอย่างดีมาจาก บิดาคือ ครูช้อย สุนทรวาทิน อีกด้วย ส่วนฝีมือในการบรรเลงปี่และฆ้องก็เช่นเดียวกัน
          อีกตัวอย่างหนึ่งคือ พระยาประสานดุริยศัพท์ (แปลก ประสานศัพท์) ศิษย์คน โตของครูช้อย ไม่ทราบแน่ชัดว่าเคยเรียนวิชาปี่พาทย์กับใครบ้าง แต่ได้เรียนเต็ม ที่กับ ครูช้อย เป็นศิษย์เอกที่ครูช้อยทุ่มเทสอนให้อย่างไม่ปิดบัง ซึ่งก็ปรากฏว่านายแปลกเป็น คนระนาดและค นปี่ชั้นเอกเสมอด้วยพระยาเสนาะดุริยางค์ (แช่ม สุนทรวาทิน) ท่านยัง แตกฉานในการบรรเลงเครื่องดนตรีอื ่นๆและมีความรู้มากจึงได้รับการยกย่องว่า เป็นครูผู้ใหญ่มาตั้งแต่อายุยังไม่มากนักมีศิษย์ที่มีฝ ีมือทางระนาดหลายคน เช่นพระเพลงไพเราะ และหลวงชาญเชิงระนาด เป็นต้น
          ศิษย์ อีกคนของครูช้อยคือ ครูเพชร จรรย์นาฎ ซึ่ง เป็นศิษย์คนเล็กก็มีฝีมือจัดมากทั้งด้านระนาดเอกและฆ้องเคยเป็นคนระนาด เอกประจำวงวังบูรพาภิรมย์มาก่อนค รูหลวงประดิษฐไพเราะ(ศร ศิลปบรรเลง) ภายหลังจึงเปลี่ยนไปเป็นคนฆ้อง ลูกศิษย์คนหนึ่งของครูเพชรซึ่งมีช ื่อเสียงในการบรรเลงระนาดเอกในยุคต่อมาคือ ครูบุญยง เกตุคง
          ครู บุญยง เกตุคง เล่าว่าเรื่องสำคัญที่ท่านได ้เรียนจากสำนักครูเพชรคือเรื่องรสมือและทาง บรรเลงมีการฝึกตีประคบมือให้ได้เสียงที่ประณีตเหมาะสม ใช้ ทางบรรเลงที่แยบยลงดงามกว่าที่ท่านเคยเรียนมาจากครูคนก่อนๆ ครูเพชรเป็นนักดนตรีวงวังบูรพาฯซึ่งพ ระยาประสานดุริยศัพท์ (แปลก ประสานศัพท์) เป็นครูผู้สอนแนวทางอันประณีตทั้งเรื่องรสมือและทางเพลงก็น่าจ ะมาจากครูแปลก และครูช้อยนั่นเอง
          ยุค ของระนา ดขุนเณรและครูช้อยนี้น่าจะถือได้ว่า เป็นหัวเลี้ยวหัวต่ออันสำคัญซึ่งจะนำไปสู่ยุคก้าวหน้าของทางเพลง ระนาดเอก ระนาดขุนเณรเป็นมาตรฐานการตีระนาดของทางระนาดแบบเก่าซึ่งตีไหวและเสียงโต ชัดเจนส่วนครูช้อยเป็นผ ู้พัฒนารสมือและความเรียบร้อยในการตีระนาดเอกโดยใช้ กลอนดนตรีที่แยบยลมากยิ่งขึ้นจนถึงยุคของพระยาเสนาะ ดุริยางค์ (แช่ม สุนทรวาทิน) และพระยาประสานดุริยศัพท์ (แปลก ประสานศัพท์) ทางเพลงและศิลปะการตีระนาดจึง ได้พัฒนายิ่งขึ้นไปอีกจนเห็นได้เด่นชัด
          ค รูช้อยจึงเป็นผู้ที่ได้วางรากฐานในการพัฒนากลอนระนาดเอก และรสมือในการบรรเลงระนาดให้กับ พระยาเสนาะด ุริยางค์ (แช่ม สุนทรวาทิน) และพระยาประสานดุริยศัพท์ (แปลก ประสานศัพท์) และนับว่าเป็นครูระนาดสำคัญค นหนึ่งของยุครัตนโกสินทร์ 
          ปีเกิด และปีตายของครูช้อยนั้นพอจะอนุมานได้ว่าน่าจะเกิดช่วง พ.ศ. 2370 - 2380 ถึงแก่กรรมราว พ.ศ.2440 - 2443 ครูเลื่อน สุนทรวาทิน เล่าว่าคุณปู่ช้อยของท่านแก่กว่า คุณย่าไผ่สิบกว่าปี พระยาเสนาะดุริยางค์ (แช่ม สุนทรวาทิน) บิดาท่านเป็นลูกชายคนโตของครูช้อย เกิด พ.ศ. 2409 ถ้าขณะ นั้นคุณย่าไผ่อายุ 19 - 20 คุณย่าไผ่ ก็ต้องเกิดปี พ.ศ.2389 ถึง พ.ศ.2390 ครูช้อยจึงน่าจะเกิดช่วงปี พ.ศ.2370 - 2380
          ส่วน ปีตายนั้น หลวงบรรเลงเลิศเลอ (เกิด พ.ศ. 2422) เล่าว่า เมื่อ ท่านอายุราว 11 - 12 ปีได้ไปเป็นศิษย์ครูช้อยที่วัดน้อยทองอยู่ได้ทำหน้าที่จูงค รูช้อยไปสอนดนตรี ตามวงต่างๆและวังเจ้านายอยู่ 5 ปี จึงพ้นจากหน้าที่นี้ ซึ่งน่าจะประมาณปี พ.ศ. 2438 - 2439 ครูช้อยยังมีชีวิตอยู่ต่อมาแต่น่าจะถึงแก่กรรมก่อนปี พ.ศ. 2443 - 2445 ซึ่งเป็นช่วงที่ครูหลวงประดิษฐไพ เราะ (ศร ศิลปบรรเลง)ได้เป็น จางวางศร และได้ ประชันระนาดครั้งสำคัญกับพระยาเสนาะดุริยางค์ (แช่ม สุนท รวาทิน) ถ้าครูช้อยยังมีชีวิต อยู่พระยาประสานดุริยศัพท์ (ครูแปลก)น่าจะเกรงใจครูช้อยและไม่ยอมมาสอน จา งวางศร และ ครูเพชร จรรย์นาฏ คงไม่กล้ามาเป็นคนฆ้องให้กับวงดนตรีของจางวางศรด้วยเช่นกัน ครูช้อยจึงน่าจะถึง แก่กรรมก่อนปี พ.ศ. 2445 และมีอายุในราว 70 ปี



พระยาเสนาะ ดุริยางค์
พระยาเสนาะดุริยางค์ เป็นบุตรคนโตของครูซ้อย และนางไผ่ สุนทรวาทิน ได้ฝึกฝันวิชาดนตรี จากครูซ้อย ผู้เป็นบิดา จนมีความแตกฉาน ต่อมาเจ้าพระยาเทเวศน์วงศ์วิวัฒน์ (ม.ร.ว. หลาน กุญชร) ได้ขอตัวมาเป็นนักดนตรีในวงปี่พาทย์ของท่าน ท่านเข้ารับราชการ เมื่อ พ.ศ. 2422 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น "ขุนเสนาะดุริยางค์" ในปี พ.ศ. 2446 ตำแหน่งเจ้ากรมพิณพาทย์หลวงจึงโปรดให้เลื่ินเป็น "หลวงเสนาะดุริยางค์" ในปี พ.ศ. 2453 ในตำแหน่งเดิมจนถึงสมัย พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้เลื่ินเป็น "พระเสนาะดุริยางค์" รับราชการในกรมมหรสพหลวง และได้รับพระราชทานเหรียญดุษฎีมาลา เข็มศิลปวิทยา ด้วยความซื่อสัตย์ และมีความจงรักภักดี ท่านจึงได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น "พระยาเสนาะดุริยางค์" ในปี พ.ศ. 2468 ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ท่านได้รับมอบหมายให้ควบคุมวงพิณพาทย์ของเจ้าพระยาธรรมาธิกรณาธิบดี (ม.ร.ว. ป้ม มาลากุล) เสนาบดีกระทรวงวัง วงพิณพาทย์วงนี้ นับได้ว่าเป็นการรวบรวมผู้มีฝีมือซึ่งต่อมาได้เป็นครูผู้ใหญ่ เป็นที่รู้จักนับถือโดยทั่ว



ครูพระประดิษฐไพเราะ (มี ดุริยางกูร)

        พระประดิษฐไพเราะ (มี ดุริยางกูร) หรือที่คนทั้งหลายเรียกกันว่า ครูมีแขก นั้น มีประวัติกล่าวไว้เป็น ๒ นัยคือ 

        จากหนังสือ "สาส์นสมเด็จ" เล่ม ๒  หน้า๑๒๑-๑๒๒  ซึ่งเป็นข้อความที่สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ ์   ทรงสืบประทานแด่สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ว่า  
        "ครูมีแขก (ครูปี่พาทย์หมายเลขน้ำเงินที่ ๕)  คือว่าเป็นเชื้อแขก  ชื่อ มี  เล่นเครื่องดุริยแลดนตรีได้ เกือบทุกอย่าง เป็นคนฉลาด       สามารถแต่งเพลงได้ดี      มีชื่อร่ำลือ       เพลงของท่านนั้นมี "ทยอยใน"  "ทยอยนอก"  สามชั้นเป็นต้น ซึ่งจำมาเล่นกันอยู่ทุกวันนี้ทั่วทุกวง ถ้าใครทำเพลงนี้ไม่ได้ดูประหนึ่งจะ ถือกันว่าไม่เป็น 
         ตัวท่านเองยังจะถนัดปี่มากกว่าสิ่งอื่น    จึงปรากฏในคำไหว้ครูว่า        "ครูมีแขกคนนี้เขาดีครัน เป่าทยอยลอยลั่นบรรเลงลือ" (คำนี้ฉบับที่ประทานมาเขียนว่า "เป่าทยอย" นั้นผิด "   ทยอยซึ่งว่าในที่นี้ เป็นอีกเพลงหนึ่ง ปี่เป่าแต่เลาเดียว พวกปี่พาทย์เรียกกันว่า "ทยอยเดี่ยว" เป็นเพลงครูมี แต่งเหมือนกัน ต้องเข้าใจว่าแต่งขึ้นเป่าเอง  ในรัชกาลที่ ๔     เจ้านายหลายพระองค์    มีพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯ กรมพระเทเวศร์ กรมหลวงวงศาฯ เป็นต้น ทรงรวบรวมคนหัดปี่พาทย์เล่นประชันวง ครูมีคนนี้ได้เป็น ครูปี่พาทย์ในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯ เจ้าอยู่หัว จึงได้พระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นพระประดิษฐ ไพเราะตำแหน่งจางวางกรมปี่พาทย์ฝ่ายพระราชวังบวร พระประดิษฐ (มี) คนนี้อยู่มาจนถึงสมัยรัชกาลที่ ๕ ยังได้เป็นครูหัดมโหรีในสมเด็จกรมพระยาสุดารัตน์ราชประยูรในพระบรมมหาราชวัง
        อย่างไรก็ตามสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ก็ไม่ทรงเคยเห็นครูมี แขกเพียงแต่ทรงได้ยินชื่อ เท่านั้นเอง ดังข้อความใน "สาส์นสมเด็จ"เล่ม ๒๓ หน้า ๑๓๘ พระองค์ท่านทรงไว้ว่า 
ครูมีแขกนั้นเคยได้ยินแต่ชื่อ ไม่เคยเห็นตัว" 
        จาก "สาส์นสมเด็จ" เล่มที่ ๒๓ หน้า ๑๕๖                                       
        สมเด็จกรมพระยาดำรงค์ราชานุภาพกราบทูลสนองแด่สมเด็จกรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ว่า 
        "ครูมีแขกนั้น หม่อมฉันรู้จัก   แต่เมื่อหม่อมฉันไว้จุกไปเรียนภาษาอังกฤษที่สมเด็จพระราชปิตุลา ประทับ     ณ    หอนิเทพพิทยาเห็นแกเดินผ่านไปหัดมโหรีของทูลกระหม่อมปราสาท    ที่มุขกระสัน พระมหาปราสาททุกวัน       เวลานั้นแกก็แก่มากอายุกว่า ๗๐ ปีแล้ว         มีบ่าวแบกซอสามสายตาหลังเสมอ วันหนึ่งกรมประจักษ์ตรัสเรียกให้แกแวะที่หน้าหอ แล้วยืมซอสามสายของแกมาสี แกฉุออกปากว่า "ถ้าทรงสีอย่างนั้นไฟก็ลุก" จำได้เท่านั้น 
        อีกนัยหนึ่ง ตามที่ผู้สืบสกุลและผู้ใหญ่เล่าสืบกันมาว่า บ้านเดิมของครูแขกตั้งอยู่ในบริเวณสุเหร่า เหนือวัดอรุณราชวราราม    และเมื่อคลอดออกมาใหม่ ๆ นั้น     ท่านมีสิ่งขาว ๆ คล้ายกระเพาะครอบศีรษะ เหมือนหมวกแขก จึงได้สมญานามว่า "แขก" มาตั้งแต่เด็ก ๆ 
        สาเหตุที่คนทั่วไปเรียกประดิษฐไพเราะว่า   "ครูมีแขก"  นั้น         อาจเนื่องมาจากเหตุใดเหตุหนึ่ง ตามนัยที่กล่าวมาแล้วข้างต้น แต่อย่างไรก็ตาม     สาเหตุที่คนทั่วไปเรียกท่านว่าครูมีแขกอาจจะเนื่องมาจาก รูปร่างลักษณะของท่านก็เป็นได้            เพราะเท่าที่ผู้เขียน ได้พิจารณาดูภาพของท่านซึ่งเขียนด้วยสีน้ำมัน ฝีมือของขุนประเสริฐ หัตถกิจ ก็เห็นว่าหน้าตาของท่านมีหนวดเครา และมีขนขึ้นเต็มหน้าอกเลยทีเดียว 
        ในการที่จะค้นคว้า หรือสืบให้ทราบเป็นที่แน่ชัดว่า พระประดิษฐไพเราะ (ครูมีแขก) เกิด วัน เดือน ปี อะไรนั้น ออกจะเป็นสิ่งทำได้ยาก ทราบแต่เพียงว่า 
                 ๑.     ครูมีแขก เป็นครูดนตรีมาตั้งแต่ปลายรัชกาลที่ ๓ จนถึงในรัชกาลที่ ๕ 
                 ๒.    สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงเคยเห็นพระประดิษฐไพเราะขณะที่สมเด็จกรมพระ ยาดำรงฯ ทรงไว้พระเมาลีสมเด็จกรมพระยาดำรงประสูติเมื่อวันที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๔๐๕ 
                 ๓.     ครูมีแขก เป็นครูของครูสิน ศิลปบรรเลง บิดาของหลวงหลวงประดิษฐ ไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง)  หลวงประดิษฐไพเราะเกิดเมื่อวันที่ ๖ สิงหาคม ๒๔๒๔ 
                 ๔.     ครูมีแขกได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นที่หลวงประดิษฐไพเราะเมื่อวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๓๙๖ และได้รับพระราชทานเลื่อนบรรดาศักดิ์ขึ้นเป็น พระประดิษฐไพเราะ เมื่อวันที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๓๙๖ 
        นักดนตรีไทยทุกคนต่างยอมรับนับถือความเป็นอัจฉริยะในทางดนตรีของครูมีแขก   โดยถือว่า เป็นบรมครูผู้ยิ่งใหญ่ของการดนตรีไทยทีเดียว      ทั้งนี้เพราะว่านอกจากท่านมีความสามารถในการเล่นดนตรีได้แทบทุกชนิดแล้ว ท่านยังเป็นต้นตำรับในการแต่งเพลงประเภทต่าง ๆ     ได้ดีเป็นเยี่ยมอีกด้วย ได้ดีเป็นเยี่ยมอีกด้วยโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เพลงประเภท "ลูกล้อลูกขัด"      แต่ละเพลงของท่านมีชื่อเสียง มากเช่น เพลง ทยอยนอก ทยอยเดี่ยว ทยอยเขมร และเพลงเชิดจีน เหล่านี้เป็นต้น โดยที่ท่านครูมีแขกถนัดแต่งเพลงประเภท "ลูกล่อลูกขัด" หรือเพลงประเภท "ทยอย" พวกนักดนตรีชั้นหลัง ๆ จึงให้สมญาท่านว่า "เจ้าแห่งเพลงทยอย" ดังในคำไหว้ครูปี่พาทย์ตอนหนึ่งว่า 
                                "ที่นี่จะไหว้ครูปี่พาทย์        ฆ้องระนาดมือดีปี่ไฉน 
                   ทั้งครูแก้วครูพักเป็นหลักชัย          ครูทองอิมนั้นแหละใครไม่เทียมทัน 
                   มือตอดหนอดหนักขยักขย่อน        ตาพูนมอญมิใช่ชั่วตัวขยัน                    ครูมีแขกคนนี้เขาดีครัน                  เป่าทยอยลอยลั่นบรรเลงลือ"         ที่ว่า "เป่าทยอยลอยลั่นบรรเลงลือ" นั้น หมายถึงเพลงทยอยเดี่ยว ซึ่งท่านครูมีแขกแต่งขึ้นเพื่อใช้เป็นเพลงสำหรับเป่าปี่เดี่ยวอวดฝีมือโดย เฉพาะตัวพระประดิษฐไพเราะ (ครูมีแขก) ซึ่งเป็นผู้แต่งเองก็ได้มีชื่อเสียงโด่งดังขึ้นจากการเป่าปี่เดี่ยวเพลงทยอย เดี่ยวนี่เอง  และก็นิยมใช้เป็นเพลงสำหรับเดี่ยวปี่กัน ต่อมาภายหลังจึงมีผู้นำเพลงทยอยเดี่ยวไปประดิษฐ์เป็นทาง เดี่ยวสำหรับเครื่องดนตรีชนิดอื่น ๆ เพลงทยอยเดี่ยวเป็นเพลงที่แสดงอารมณ์เศร้าและคร่ำครวญอย่างผิดหวัง เมื่อฟังแล้ว จะทำให้ผู้ฟังมีอารมณ์คล้อยตามไปกับเสียงเพลงอย่างดื่มด่ำทีเดียว 
        เพลงที่ถือเป็นต้นตำรับของเพลงลูกล้อลูกขัด ก็คือเพลงทยอยนอกนับเป็นเพลงเอกเพลงหนึ่ง ในจำพวกเพลงที่มีลูกล้อลูกขัด     อาจกล่าวได้ว่า    เพลงทยอยนอกเป็นเพลงแม่บทของเพลงลูกล้อลูกขัด ที่เกิดขึ้นในชั้นทั้งสิ้น เพลงนี้พระประดิษฐไพเราะ ได้แทรกลูกเล่นไว้อย่างพิสดาร มีทั้งเดี่ยว ลูกล่อลูกขัด ทีเบา ทีแรงอย่างบริบูรณ์ และเป็นเพลงสำหรับอวดผีมือไปในตัว      ไม่มีเพลงประเภทลูกล้อลูกขัดเพลงใด จะเทียบเท่าซึ่งก็เป็นที่นิยมกันมาจนสมัยปัจจุบันเพลงนี้เข้าใจว่าได้แต่ง ขึ้นในตอนต้น รัชกาลที่ ๔ 
        เมื่อสมัยรัชกาลที่ ๔ ครูมีแขกได้เป็นครูปี่พาทย์ในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว และได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ เป็นที่หลวงประดิษฐไพเราะ เมื่อวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๓๙๖ ตำแหน่งปลัดจางวางมหาดเล็ก ได้ว่ากรมปี่พาทย์ฝ่ายพระบวรราชวัง ดังข้อความต่อไปนี้ 

                                                                   
        ระยะเวลาระหว่างเดือนพฤศจิกายน กับเดือน ธันวาคม พ.ศ. ๒๓๙๖ ครูมีแขกได้แต่งเพลง "เชิดจีน" ขึ้น แล้วนำขึ้นบรรเลงทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์โปรดมาก จึงโปรดให้เลื่อนบรรดาศักดิ์เป็น "ที่พระประดิษฐไพเราะ" ในวันที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๓๙๖ ดังข้อความต่อไปนี้

               
        จะเห็นได้ว่าชั่วระยะเวลาหนึ่งเดือนพอดีซึ่งท่านได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นด้วย เพลงเชิดจีนนี้แท้ ๆ และเพลงเชิดจีนนี้ ก็เป็นเพลงที่ดีเลิศ สมกับความดีความชอบที่ท่านได้รับนั้นจริง ๆ คือเป็นเพลงที่ท่าน ได้แต่งขึ้นโดยวิธีอันแปลกประหลาดกว่าเพลงไทยทั้งหลายที่เคยมีมา สำนวนทำนองของเพลงมีทั้งเชิง ล้อ เชิงชน ทีหนีทีไล่     ล้อหลอกกันไปมาระหว่างเครื่องนำกับเครื่องตามอย่างสนุกสนานและไพเราะ เร่งเร้า กระตุ้นเตือนให้ชวนฟังตลอดเวลา เพลงนี้ใช้ได้หลายอย่าง    จะฟังเล่นให้เกิดความสนุกสนาน เพลิดเพลิน หรือจะเอาไปใช้ประกอบการรำ หรือแสดงละครก็ได้ 
        ครูมีแขกเป็นผู้มีการสังเกตและสนใจจดจำสิ่งต่าง ๆ ที่ได้ประสบพบเห็นมาโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าท่านได้พบ ได้เห็น ได้ยิน และได้ฟัง ดนตรีแปลก ๆ แล้ว ท่านก็จะจดจำนำมาดัดแปลงหรือมาแต่งเป็น เพลงขึ้นใหม่ตามหลักดุริยางค์ไทยได้อย่างไพเราะเพราะพริ้ง ดังมีเรื่องเล่ากันมาว่า วันหนึ่งขณะที่พระประดิษฐไพเราะกำลังเดินกลับจากสอนดนตรีในวังผ่านมา ได้ยินพวกจีนเขาเล่นมโหรีจีนกันอยู่ไหนก็ ให้ศิษย์ที่มาด้วยกัน ๒ คนคือ ครู สิน ศิลปบรรเลง    และครูรอดช่วยกันจำไว้      พอไปถึงบ้านก็ได้นำมา เรียบเรียงประดิษฐ์ขึ้นเป็นเพลงชุดของเพลงจีนสี่เพลง คือ เพลงภิรมย์สุรางค์ เพลงอาเฮีย เพลงชมสวน และเพลงแป๊ะ ทั้ง ๔ เพลงนี้ก็ยังอยู่ในความนิยมของนักดนตรีไทยมาจนกระทั่งทุกวันนี้ 
        อยู่มาถึงในรัชกาลที่ ๕ ครูมีแขกได้เป็นครูมโหรีในสมเด็จกรมพระยาสุดารัตน์ราชประยูร  แล้ว จึงถึงแก่กรรม ท่านเป็นต้นสกุล "ดุริยางค์กูร"  บุตรหลานของท่านยังเปิดร้านจำหน่ายเครื่องดนตรีและ อุปกรณ์ อยู่ที่ ดุริยบรรณ ถนนตะนาว จนกระทั่งทุกวันนี้ 
        ท่านบรมครูพระประดิษฐไพเราะ ได้สร้างผลงานไว้แก่วงดนตรีไทยอย่างมากมายและงดงาม เช่น เป็นต้นตำรับของการเดี่ยวเครื่องดนตรีต่าง ๆ เป็นที่น่าสังเกตว่าเพลงเดี่ยวส่วนมาก เช่น พญาโศก พญาครวญ สารถี แขกมอญ จีนขิมใหญ่ ภิรมย์สุรางค์ และลมพัดชายเขาก็ล้วนแล้วแต่เป็นเพลงของพระประดิษฐไพเราะทั้งสิ้น ทั้งนี้ย่อมเป็นเครื่องชี้ให้เห็นว่า           
เพลงของพระประดิษฐไพเราะนั้นยอดเยี่ยมเพียงใด         เพลงพญาโศก
                ถ้าท่านได้ยินชื่อของเพลงแล้วท่านก็จะทราบได้ว่าเป็นไปในทางมีทุกข์ มีร้อนหรือเศร้าเสียใจ พระประดิษฐไพเราะได้แต่งขึ้นสมัยรัชกาลที่ ๔ ต่อมาได้มีครูอาจารย์อีกหลายท่านได้ทำเพลงนี้ให้เป็นทางเดี่ยวให้บรรเลงด้วย เครื่องมือต่าง ๆ กัน เช่น ปี่ ระนาด ฆ้อง และซอ เป็นต้น 
        เพลงสารถี                เป็นเพลงที่พระประดิษฐไพเราะแต่งขึ้นเพลงนี้มีทำนองอ่อนโยนปลุกปลอบใจและตัด พ้อ ต่อว่า ระหว่างชายกับหญิงที่มีรักใคร่กัน และต่อมาเมื่อสมัยรัชกาลที่ ๖   ได้มีโบราณจารย์คิดทำขึ้นเป็น ทางเดี่ยวอวดฝีมือกันจนเป็นที่นิยมกันมาจนกระทั่งบัดนี้ 
        นอกจากท่านบรมครูพระประดิษฐไพเราะจะเป็นต้นตำหรับของการเดี่ยวเครื่องดนตรี ชนิดต่าง ๆ แล้วท่านยังเป็นต้นตำรับของการแต่งเพลงประเภทสนุกสนานและเป็นต้นตำรับของ เพลงประเภทอื่น ๆ อีกมาก เพลงของท่านแต่ละเพลงล้วนเป็นเพลงอมตะที่คงอยู่ในความทรงจำของนักดนตรีไทย ตลอดไป เพลงที่ท่านแต่งไว้ก็มี      กำสรวลสุรางค์      ขวัญเมือง       แขกบรเทศ    แขกมอญ    แขกมอญบางช้าง    จีนแส จีนขิมใหญ่ เชิดจีน ทยอยเขมร   ทยอยเดี่ยว   ทยอยนอก  แป๊ะ   อาเฮีย พญาครวญ พญาโศก พระอาทิตย์ชิงดวง และ ภิรมย์สุรางค์ เป็นต้น



หลวงไพเราะเสียงซอ (อุ่น ดูรยชีวิน)


ประวัติ

หลวงไพเราะเสียงซอเดิมชื่ออุ่น ดูรยชีวิน เกิดเมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2435 ณ ตำบลหน้าไม้ อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นบุตรของนายพยอมและนางเทียบ เมื่ออายุ 11 ปีท่านได้บวชเป็นสามเณรที่วัดหน้าต่างนอก ภายหลังบิดามารดาย้ายเข้ากรุงเทพมหานครท่านจึงย้ายไปเรียนที่วัดปริณายก โดยเริ่มแรกท่านเรียนซอด้วงจากบิดาของท่าน
เวลาต่อมาท่านถวายตัวเข้าเป็นมหาดเล็กในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ครั้งยังทรงดำรงพระยศเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร ท่านจึงมีโอกาสศึกษาดนตรีไทยกับพระยาประสานดุริยศัพท์ (แปลก ประสานศัพท์) ต่อมามีการก่อตั้งกองเครื่องสายฝรั่งหลวงในกรมมหรสพ ท่านได้รับเลือกให้ฝึกหัดไวโอลิน และท่านได้เข้ารับราชการในกองดนตรีเมื่อปี พ.ศ. 2448
เมื่อสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯเสด็จขึ้นเถลิงราชสมบัติเป็นพระบาทสมเด็จ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวแล้ว ท่านจึงได้เลื่อนขั้นเป็นมหาดเล็กประจำ ต่อมารัชกาลที่หกมีพระราชประสงค์ให้มีวงดนตรีตามเสด็จพระราชดำเนินเมื่อแปร พระราชฐานตามหัวเมือง เรียกกันว่า"วงตามเสด็จ"ประกอบด้วยข้าราชการที่มีฝีมือทางด้านดนตรี ท่านเป็นผู้หนึ่งในวงตามเสด็จได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น ขุนดนตรีบรรเลง รองหุ้มแพรมหาดเล็ก ในที่สุดท่านได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ที่หลวงไพเราะเสียงซอ เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2460
ครั้นสมัยรัชกาลที่เจ็ด หลวงไพเราะเสียงซอได้มีโอกาสเป็นพระอาจารย์สอนเครื่องสายถวายเจ้านาย ในพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว อันมี พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี กรมหมื่นอนุวัตรจาตุรนต์ กรมหมื่นอนุพงศ์จักรพรรดิ์ หม่อมเจ้าถาวรมงคล จักรพันธุ์และหม่อมเจ้าแววจักร จักรพันธุ์ นอกจากนี้ท่านได้สอนถวายพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเฉลิมเขตรมงคลและข้าหลวงอีกด้วย ภายหลังกรมศิลปากรได้เชิญท่านสอนประจำที่วิทยาลัยนาฏศิลป์ และท่านยังได้สอนและปรับปรุงวงดนตรีไทยของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จนทำให้วงดนตรีของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เป้นที่รู้จักในเวลาต่อมา
หลวงไพเราะเสียงซอถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2518 ณ โรงพยาบาลศิริราช สิริอายุ 84 ปี
ชีวิตครอบครัว
หลวงไพเราะเสียงซอสมรสกับนางนวม มัธยมจันทร์ มีบุตรธิดา 8 เวลาต่อมาท่านได้สมรสครั้งที่สองกับหม่อมเจ้ากริณานฤมล สุริยง มีบุตรธิดาอีก 5 คน
ผลงาน
ผลงานของหลวงไพเราะเสียงซอนั้นมีปรากฏในราชการมากมาย อาทิวงขับไม้ใน พระราชพิธีสมโภชต่างๆในสมัยรัชกาลที่หก เช่นพระราชพิธีฉัตรมงคล พระราชพิธีขึ้นระวางพระคชาธารเป็นต้น และในสมัยรัชกาลที่เจ็ด เพลงคลื่นโหมโรงกระทบฝั่งซึ่งเป็นบทพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่เจ็ด ก็มีที่มาจากคำกราบบังคลทูลของหลวงไพเราะฯ เมื่อครั้งตามเสด็จประพาสสัตหีบเมื่อปี พ.ศ. 2474


พระประสานดุริยศัพท์ (แปลก ประสานศัพท์) 


ประวัติ
พระยาประสานดุริยศัพท์ นามเดิมชื่อแปลก ประสานศัพท์ เกิดเมื่อ พ.ศ. 2403 ที่บ้านตรอกไข่ บิดาชื่อขุนกนกเลขา ส่วนมารดาชื่อนางนิ่ม เป็นบุตรคนโตจากจำนวน 4 คน ภรรยาชื่อนางพยอม เป็นชาวจังหวัดราชบุรี ถึงแก่อนิจกรรมเมื่อวันที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2468 รวมอายุได้ 65 ปี

ประสบการณ์ด้านดนตรี
พระยาประสานดุริยศัพท์ มีความรู้ความสามารถในการเป่าปี่ใน ระนาดเอกอย่างดีเลิศและได้ศึกษาดนตรีกับครูช้อย สุนทรวาทิน จนมีความเชี่ยวชาญ ในปี พ.ศ. 2428 ได้มีโอกาสบรรเลงดนตรีที่ประเทศอังกฤษและได้เข้าไปเดี่ยวขลุ่ยถวาย สมเด็จพระนางเจ้าวิคตอเรีย ในพระราชวังบัคกิ้งแฮมด้วย จนเป็นที่พอพระราชหฤทัย พระยาประสานดุริยศัพท์เป็นครูสอนปี่พาทย์และวงเครื่องสายมาโดยตลอด เป็นผู้ควบคุมวงปี่พาทย์ วงสมเด็จพระบรมซึ่งเป็นวงในพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว ต่อมาได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น พระยาประสานดุริยศัพท์ เมื่อ พ.ศ. 2458

คีตวรรณกรรม
พระยาประสานดุริยศัพท์ ได้ใช้ความรู้ความสามารถแต่งเพลงไว้หลายเพลงด้วยกัน เช่น เขมรปากท่อเถา เขมรราชบุรีเถา เขมรใหญ่สามชั้น พม่าห้าท่อนสามชั้น ถอนสมอสามชั้น ทองย่อนสามชั้น กราวในสามชั้น ลาวดำเนินทราย ธรณีร้องได้สามชั้นและคุณลุงคุณป้าสามชั้น ทางเดี่ยว ลาวคำหอม เป็นต้น




นายมนตรี ตราโมท

มนตรี ตราโมท เป็นบุตรนายยิ้ม และนางทองอยู่ เกิดที่บ้านท่าพี่เลี้ยง อำเภอเมืองสุพรรณบุรี เมื่อ 17 มิถุนายนพ.ศ. 2443 เดิมชื่อ "บุญธรรม"
ในสมัยที่มีการประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่องการตั้งชื่อบุคคล มนตรีจึงเปลี่ยนชื่อเป็น "มนตรี" เมื่อ 15 เมษายน พ.ศ. 2485 นามสกุล "ตราโมท" เป็นนามสกุลที่หม่อมเจ้าคำรบ ปราโมช ประทานให้ มีสำเนียงล้อนามสกุล "ปราโมช" ขององค์
มนตรีศึกษาที่โรงเรียนปรีชาพิทยากร สอบได้ชั้นมัธยมปีที่ 3 เหตุที่มนตรีมีโอกาสได้เป็นนักดนตรีไทยก็เพราะว่าบ้านของมนตรีอยู่ใกล้วัด สุวรรณภูมิ ซึ่งมีวงปี่พาทย์ฝึกซ้อมกันอยู่เป็นประจำ มนตรีจึงได้ยินเสียงเพลงปี่พาทย์อยู่เสมอจนจำทำนองเพลงได้เป็นตอน ๆ
เมื่อเรียนจบ ม.3 แล้ว จึงคิดที่จะเรียนต่อที่กรุงเทพฯ แต่มนตรีมีโรคภัยไข้เจ็บรบกวนตลอดเวลา เรียนไม่ทันเพื่อนฝูง เลยหมดกำลังใจที่จะเรียนต่อ ในเวลานั้น สมบุญซึ่ง เป็นนักฆ้องจึงชวนให้หัดปี่พาทย์ ซึ่งมนตรีก็มีใจรักอยู่แล้วจึงฝึกฝนด้วยความมานะพยายาม จนมีความคล่องแคล่วพอควร มนตรีได้เป็น นักดนตรีปี่พาทย์ อยู่ที่จังหวัดสุพรรณบุรี ประมาณ 2 ปี ต่อมาราวปี พ.ศ. 2456 มนตรีได้ย้ายไปอยู่ที่จังหวัดสมุทรสงคราม ที่บ้านสมบุญ สมสุวรรณ ซึ่งมีทั้งปี่พาทย์และ แตรวง มนตรีจึงได้มีโอกาสฝึกหัดทั้งสองอย่าง
เมื่ออายุได้ 17 ปี ได้สมัครเข้ารับราชการในกรมพิณพาทย์ทอง กรมมหรสพ กรมมหาดเล็ก ที่กรมพิณพาทย์หลวง มนตรีได้เรียนฆ้องวงใหญ่จากหลวงบำรุงจิตเจริญ (ธูป สาตนะวิลัย) และเรียนกลองแขก จากพระพิณบรรเลงราช (แย้ม ประสานศัพท์)
มนตรีอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ วัดสุวรรณภูมิ จังหวัดสุพรรณบุรี เมื่อ พ.ศ. 2476
มนตรีมีฝีมือทางการบรรเลงฆ้องวง แต่เพื่อให้มีฝีมือในเครื่องดนตรีชนิดอื่น ๆ พระยาประสานดุริยศัพท์ (แปลก ประสานศัพท์) เจ้ากรมพิณพาทย์หลวง จึงให้มนตรีเปลี่ยนเป็นครูตีระนาดทุ้ม มนตรีได้รับเลือกให้เข้าประจำอยู่ในวงข้าหลวงเดิม ซึ่งเป็นวงที่จะต้องตามเสด็จพระราชดำเนินแปรพระราชฐานทุกแห่ง ทำให้มนตรีเป็นผู้กว้างขวางในวงสังคมสมัยนั้น
มนตรีรับราชการอยู่ที่แผนกปี่พาทย์หลวงได้ไม่นาน ก็เกิดการโอนวงปี่พาทย์และโขนละครไปสังกัดอยู่กับกรมศิลปากร เมื่อ พ.ศ. 2478 มนตรีจึงย้ายไปประจำโรงเรียนศิลปากร แผนกนาฏดุริยางค์ (ปัจจุบันคือวิทยาลัยนาฏศิลป์)
หน้าที่การงานของมนตรี เจริญรุ่งเรืองมาตามลำดับจนเลื่อนเป็นชั้นเอก ต่อมาได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้มนตรีดำรงตำแหน่งศิลปินพิเศษ เมื่อ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2504 นับเป็นศิลปินคนแรกของกรมศิลปากรที่ได้รับชั้นพิเศษ
เมื่อมนตรีเกษียณอายุ กรมศิลปากรพิจารณาเห็นว่ามนตรีมีความรู้ความสามารถในด้านวิชาการศิลป ดุริยางค์ไทย จึงจ้างไว้ช่วยราชการต่อมาอีก 5 ปี จากนั้นก็จ้างในฐานะลูกจ้างชั่วคราว ตำแหน่งผู้เชี่ยวชาญดนตรีไทยกับคีตศิลป์ไทย ทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติในวิทยาลัยนาฏศิลป์ กรมศิลปากร
นอกจากการทำงานประจำในหน้าที่ที่กรมศิลปากรแล้ว มนตรียังเป็นอาจารย์พิเศษสอนตามมหาวิทยาลัยอีกหลายแห่ง
มนตรีได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นราชบัณฑิตในประเภทวิจิตรศิลป์ สำนักศิลปกรรม ตามประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี ลงวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2524
ด้านชีวิตครอบครัว ได้สมรสครั้งแรก กับนางสาวลิ้นจี่ บุรานนท์ เมื่อ พ.ศ. 2475 แต่ได้อยู่ร่วมกันเพียง 2 ปี นางลิ้นจี่ ก็ถึงแก่กรรม มนตรีจึงได้สมรสอีกครั้งกับนางสาวพูนทรัพย์ นาฎประเสริฐ ( นางพูนทรัพย์ ตราโมท ) เมื่อ พ.ศ. 2478 มีบุตรธิดารวม 4 คน คือ
นายฤทธี ตราโมท
นายศิลปี ตราโมท
นางดนตรี ตราโมท
นายญาณี ตราโมท
มนตรี ตราโมท ถึงแก่กรรม เมื่อวันอาทิตย์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2538 ด้วยโรคหัวใจล้มเหลว ณ โรงพยาบาลนนทเวช สิริรวมอายุ 95 ปี 1 เดือน 19 วัน
ผลงาน
นอกจากมนตรีจะมีฝีมือในการบรรเลงดนตรีแล้ว มนตรียังมีความสามารถในการแต่งเพลงอีกด้วย มนตรีแต่งเพลงมาแล้วมากมาย มากกว่า 200 เพลง ตั้งแต่ พ.ศ. 2463 เป็นต้นมา มีทั้งเพลง 3 ชั้น เพลงเถา เพลงประวัติศาสตร์ เพลงระบำและเพลงเบ็ดเตล็ด เคยมีผู้รวบรวมไว้ได้ถึง 200 กว่าเพลง นอกจากมนตรีจะแต่งเพลงดังกล่าวมาแล้ว มนตรียังเคยแต่งเพลงประกวดทั้งบทร้องและทำนองเพลงและได้รับรางวัล 1 เพลงนั้นชื่อว่า "เพลงวันชาติ 24 มิถุนา" เมื่อ พ.ศ. 2483
เป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปแล้วว่า มนตรี ตราโมทเป็นครูผู้ประกอบพิธีไหว้ครู และครอบประสิทธิ์ประสาทวิชาวิชาดนตรีไทยของกรมศิลปากร นอกจากมนตรีจะกระทำพิธีให้แก่กองการสังคีตและวิทยาลัยนาฏศิลป์ ทั้งในส่วนกลางและต่างจังหวัดแล้ว มนตรียังทำพิธีไหว้ครูดนตรีไทยให้แก่หน่วยราชการ สถานศึกษาและเอกชนทั่วไป
มนตรีนอกจากจะมีความรู้และความสามารถในการแต่งเพลงและการบรรเลงดนตรีไทยแล้ว มนตรียังมีความรู้ทางโน้ตสากลและดนตรีสากลอีกด้วย ซึ่งยิ่งช่วยเพิ่มความรู้ทางดนตรีไทยและการแต่งเพลงมากขึ้น
มนตรีรักการอ่านหนังสือทำให้มนตรีมีความรู้กว้างขวาง มนตรีชอบโคลงมาก มนตรีจึงแต่งโคลงไว้มากมาย นอกจากนี้ หนังสือประเภทสารคดีที่เกี่ยวกับวิชาการทางด้านศิลปะ มนตรีก็ได้แต่งไว้หลายเรื่อง เช่น "ดุริยางค์ศาสตร์ไทยภาควิชาการ" "การละเล่นของไทย" "ศัพท์สังคีต" นอกจากนี้ก็มีเรื่องสั้น ๆ ที่มนตรีเขียนไว้ในหนังสือต่าง ๆ เช่น เรื่องปี่พาทย์ไทย ปี่พาทย์มอญ ปี่พาทย์ชวา เครื่องสายไทย ดุริยเทพดนตรีกับชีวิต วงดนตรีประกอบการแสดงโขน ฯลฯ
มนตรียังได้เขียนอธิบายความหมายของคำต่าง ๆ ในหนังสือสารานุกรมไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถานและเขียนเรื่องดนตรีไทยในหนังสือสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชนไทย เล่ม 1 ในพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ในโอกาสฉลอง 200 ปี กรุงรัตนโกสินทร์ กรมศิลปากรจัดพิมพ์ หนังสือหลายเล่ม มนตรีก็ได้มีส่วนเขียนเรื่องดนตรีไทย ภาพกลางลงพิมพ์ในหนังสือชุดศิลปกรรมไทย หมวด "นาฏดุริยางคศิลป์ยุคกรุงรัตนโกสินทร์" ด้วย
ผลงานทางด้านข้อเขียนของมนตรี ที่มนตรีภาคภูมิใจอีกอย่างหนึ่งก็คือ เมื่อทางราชการสร้างพระราชานุสาวรีย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ที่จังหวัดสุพรรณบุรีแล้วเสร็จ ได้จัดให้ผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากเรียบเรียงข้อความที่จะจารึกเทิดทูนพระวีร เกียรติประวัติของพระองค์ โดยใช้ถ้อยคำแต่น้อยกินความมาก เพื่อให้พอเหมาะกับขนาดแผ่นจารึกที่ฐานพระราชานุสาวรีย์ ผลการคัดเลือกปรากฏว่า ข้อความของมนตรีได้รับการพิจารณาให้จารึกในแผ่นศิลาดังกล่าว
มนตรีเป็นผู้ทรงคุณวุฒิ มนตรีเคยได้รับเกียรติให้เป็นกรรมการมากมายหลายคณะ เช่น
กรรมการตัดสินเพลงชาติ
กรรมการศิลปะของสภาวัฒนธรรม
ประธานกรรมการการรับรองมาตรฐานวิทยาลัยเอกชน สาขาดุริยางคศิลปะของทบวงมหาวิทยาลัย
รองประธานกรรมการตัดสิน การอ่านทำนองเสนาะ
กรรมการตัดสินคำประพันธ์เรื่องเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ที่ปรึกษาคณะกรรมการจัดทำแบบเรียนวิชาดนตรีศึกษา ของกรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ
ฯลฯ



 หลวงประดิษฐไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง)



         หลวงประดิษฐไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) (6 สิงหาคม พ.ศ. 2424 - 8 มีนาคม พ.ศ. 2497) เกิดเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2424 เป็นบุตรของ นายสิน นางยิ้ม ศิลปบรรเลง บิดาของท่านคือครูสินเป็นเจ้าของวงปี่พาทย์ และเป็นศิษย์ของพระประดิษฐไพเราะ (มี ดุริยางกูร)
ในปี พ.ศ. 2443 ขณะเมื่ออายุ 19 ปี ท่านได้แสดงฝีมือเดี่ยวระนาดเอกถวายสมเด็จพระราชปิตุลาบรมพงศาภิมุข เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช เป็นที่ต้องพระทัยมาก จึงทรงรับตัวเข้ามาไว้ที่วังบูรพาภิรมย์ ทำหน้าที่คนระนาดเอกประจำวงวังบูรพาไปด้วย พร้อมกับสมเด็จท่านได้ เชิญครูมาสอนที่วัง คือ พระยาประสานดุริยศัพท์ (แปลก ประสานศัพท์) เนื่องจากจางวางศร ได้รับพระกรุณาจากสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยาภาณุพันธุ์วงศ์วรเดช เป็นอย่างมาก ทรงจัดหาครูที่มีฝีมือมาฝึกสอน ทำให้จางวางศรมีฝีมือกล้าแข็งขึ้นในสมัยนั้นไม่มีใครมีฝีมือเทียบเท่าได้เลย
จางวางศร ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ เป็นหลวงประดิษฐไพเราะ ในสมัยรัชกาลที่ 6 เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2468 ทั้งๆ ที่ท่านไม่เคยรับราชการอยู่ในกรมกองใดมาก่อน ทั้งนี้ก็เพราะฝีมือและความสามารถของท่าน เป็นที่ต้องพระหฤทัยนั่นเอง
ครั้นถึงปี พ.ศ. 2469 ท่านได้เข้ารับราชการในกรมปี่พาทย์และโขนหลวง กระทรวงวัง ท่านได้มีส่วนถวายการสอนดนตรีให้กับพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี รวมทั้งมีส่วนช่วยงานพระราชนิพนธ์เพลงสามเพลง คือ เพลงราตรีประดับดาวเถา เพลงเขมรละออองค์เถา และ เพลงโหมโรงคลื่นกระทบฝั่ง สามชั้น
เพลงได้แต่งไว้หลวงประดิษฐไพเราะ ได้แต่งเพลงไว้มากกว่าร้อยเพลง ดังนี้:
เพลงโหมโรง 
โหมโรงกระแตไต่ไม้ โหมโรงปฐมดุสิต โหมโรงศรทอง โหมโรงประชุมเทวราช โหมโรงบางขุนนท์ โหมโรงนางเยื้อง โหมโรงม้าสะบัดกีบ และโหมโรงบูเซ็นซ๊อค เป็นต้น
เพลงเถา 
กระต่ายชมเดือนเถา ขอมทองเถา เขมรเถา เขมรปากท่อเถา เขมรราชบุรีเถา แขกขาวเถา แขกสาหร่ายเถา แขกโอดเถา จีนลั่นถันเถา ชมแสงจันทร์เถา ครวญหาเถา เต่าเห่เถา นกเขาขแมร์เถา พราหมณ์ดีดน้ำเต้าเถา มุล่งเถา แมลงภู่ทองเถา ยวนเคล้าเถา ช้างกินใบไผ่เถา ระหกระเหินเถา ระส่ำระสายเถา ไส้พระจันทร์เถา ลาวเสี่งเทียนเถา แสนคำนึงเถา สาวเวียงเหนือเถา สาริกาเขมรเถา โอ้ลาวเถา ครุ่นคิดเถา กำสรวลสุรางค์เถา แขกไทรเถา สุรินทราหูเถา เขมรภูมิประสาทเถา แขไขดวงเถา พระอาทิตย์ชิงดวงเถา กราวรำเถา ฯลฯ
หลวงประดิษฐไพเราะถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2497 รวมอายุ 73 ปี
ชีวประวัติของท่านเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างภาพยนตร์เรื่องโหมโรง ซึ่งออกฉายในปี พ.ศ. 2547 และได้รับการดัดแปลงซ้ำเป็นละครโทรทัศน์ ซึ่งออกฉายทางสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส เมื่อ พ.ศ. 2555

ประเภทเครื่องดนตรีไทย

เครื่องดนตรีไทย คือ สิ่งที่สร้างขึ้นสำหรับทำเสียงให้เป็นทำนอง หรือจังหวะ วิธีที่ทำให้มีเสียงดังขึ้นนั้นมี อยู่ ๔ วิธี คือ
ใช้มือหรือสิ่งใดสิ่งหนึ่งดีดที่สาย แล้วเกิดเสียงดังขึ้น สิ่งที่มีสายสำหรับดีด เรียกว่า "เครื่องดีด"
ใช้เส้นหางม้าหลายๆ เส้นรวมกันสีไปมาที่สาย แล้วเกิดเสียงดังขึ้น สิ่งที่มีสายแล้วใช้เส้นหางม้าสีให้เกิด เสียงเรียกว่า "เครื่องสี"
ใช้มือหรือไม้ตีที่สิ่งนั้น แล้วเกิดเสียงดังขึ้น สิ่งที่ใช้ไม้หรือมือตี เรียกว่า "เครื่องตี"
ใช้ปากเป่าลมเข้าไปในสิ่งนั้น แล้วเกิดเสียงดังขึ้น สิ่งที่เป่าลมเข้าไปแล้วเกิดเสียงเรียกว่า "เครื่องป่า"
เครื่องทุกอย่างที่กล่าวแล้วรวมเรียกว่า เครื่องดีด สี ตี เป่า

เครื่องดีด
เครื่องดีดทุกอย่างจะต้องมีส่วนที่เป็นกระพุ้งเสียง บางทีก็เรียกว่า กะโหลก สำหรับทำให้ เสียงที่ดีดนั้นก้องวานดังขึ้นอีก เครื่องดีดของไทยที่ใช้ในวงดนตรีแต่โบราณเรียกว่า "พิณ" ซึ่งมาจากภาษาของชาวอินเดียที่ว่า "วีณา" ในสมัยหลังๆ ต่อมาจึงบัญญัติชื่อเป็นอย่างอื่น ตามรูปร่างบ้าง ตามภาษาของชาติใกล้เคียงบ้าง เช่น "กระจับปี่" ซึ่งมีกระพุ้งเสียงรูปแบน ด้านหน้าและด้านหลัง กลมรี คล้ายรูปไข่ มีคันต่อยาวเรียวขึ้นไป ตอนปลายบานและงอนโค้งไปข้างหลังเรียกว่า ทวน มี สายทำด้วยเอ็นหรือไหม ๔ สาย ขึงผ่านหน้ากะโหลกตามคันขึ้นไปจนถึงลูกบิด ๔ อัน ผูกปลาย สายอันละสาย มีนมติดตามคันทวนสำหรับกดสายลงไปติดสันนม ให้เกิดเสียงสูงต่ำตามประสงค์ ผู้ดีดต้องนั่งพับเพียบทางขวา วางตัวกระจับปี่ (กะโหลก) ลงตรงหน้าขาขวา กดนิ้วตามสายด้วยมือ ซ้าย ดีดด้วยมือขวา รูปกระจับปี่ (หรือพิณ) ของไทยมีลักษณะดังในภาพ
เครื่องดีดของไทยที่ใช้กันอยู่อย่างแพร่หลายในปัจจุบันก็คือ "จะเข้" จะเข้เป็นเครื่องดีดที่วางนอนตามพื้นราบ ทำด้วยไม้ท่อนขุดเป็นโพรงภายใน ไม้แก่นขนุนเป็นดีที่สุด ด้านล่างมีกระดานแปะเป็นพื้นท้อง เจาะรูระบายอากาศพอสมควร มีเท้าตอนหัว ๔ เท้า ตอนท้าย ๑ เท้า รวม เป็น ๕ เท้า มีสาย ๓ สาย สายเอก (เสียงสูง) กับสายกลางทำด้วยเอ็นหรือไหม สายต่ำสุด ทำด้วย ลวดทองเหลืองเรียกว่า สายลวด ขึงจากหลักตอนหัวผ่านโต๊ะและนม ไปลอดหย่อง แล้วพันกับ ลูกบิดสายละลูก มีนมตั้งเรียงลำดับบนหลัง ๑๑ นม สำหรับกดสายให้แตะเป็นเสียงสูงต่ำตามต้องการ การดีดต้องใช้ไม้ดีดทำด้วยงาช้างหรือกระดูกสัตว์ เหลากลม เรียวแหลม ผูกพันติดกับนิ้วชี้ มือขวา ดีดปัดสายไปมา ส่วนมือซ้ายใช้นิ้วกดสายตรงสันนมต่างๆ ตามต้องการ


เครื่องสี 
เครื่องดนตรีที่ต้องใช้เส้นหางม้าหลายๆ เส้นรวมกัน สีไปบนสายซึ่งทำด้วยไหมหรือเอ็นนี้ โดยมากเรียกว่า "ซอ" ทั้งนั้น ซอของไทยที่มีมาแต่โบราณก็คือ "ซอสามสาย" ใช้บรรเลงประกอบ ในพระราชพีธีสมโภชต่างๆ ซอสามสายนี้ กะโหลกสำหรับอุ้มเสียง ทำด้วยกะลามะพร้าวตัดขวางให้เหลือพูทั้งสามอยู่ด้านหลัง ขึงหน้าด้วยหนังแพะหรือหนังลูกวัว มีคัน (ทวน) ตั้งต่อจากกะโหลก ขึ้นไปยาวประมาณ ๑.๒๐ เมตร ทำด้วยงาช้างหรือไม้แก่น กลึงตอนปลายให้สวยงาม มีลูกบิดสอด ขวางคันทวน ๓ อัน สำหรับพันปลายสาย เร่งให้ตึง หรือหย่อนตามต้องการ มีทวนล่างต่อลงไป จากกะโหลก กลึงให้เรียวเล็กลงไปจนแหลม เลี่ยมโลหะตอนปลาย เพื่อให้แข็งแรงสำหรับปักลงกับ พื้น สายทั้งสามนั้นทำด้วยไหมหรือเอ็น ขึงจากทวนล่างผ่านหน้าซอซึ่งมีหย่องรองรับขึ้นไปตามทวน และร้อยเข้าในรู ไปพันลูกบิดสายละอัน ส่วนคันชักหรือคันสีนั้น ทำคล้ายคันกระสุน ขึงด้วยเส้น หางม้าหลายๆ เส้น สีไปมาบนสายทั้งสามตามต้องการ สิ่งสำคัญของซอสามสายอย่างหนึ่ง คือ "ถ่วงหน้า" ถ่วงหน้านี้ ทำด้วยโลหะประดิษฐ์ให้สวยงาม บางทีถึงแก่ฝังเพชรพลอยก็มี แต่จะต้องมีน้ำหนักได้ส่วนสัมพันธ์กับหน้าซอ สำหรับติดตรงหน้าซอตอนบนด้านซ้าย ถ้าไม่มีถ่วงหน้าแล้ว เสียงจะดังอู้อี้ไม่ไพเราะ

ซอด้วง เป็นเครื่องสีที่มี ๒ สายเรียกว่า สายเอก และสายทุ้ม ตัวกระพุ้งอุ้มเสียงเรียกว่า กระบอก เพราะมีรูปอย่างกระบอกไม้ไผ่ ทำด้วยไม้เนื้อแข็งหรืองาช้าง ขึงหน้าด้วยหนังงูเหลือม ถ้าไม่มีก็ใช้หนังแพะหรือหนังลูกวัว มีทวน (คัน) เสียบกระบอกยาวขึ้นไป ตอนปลายเป็นสี่เหลี่ยม โอนไปทางหลัง มีลูกบิดสำหรับพันปลายสาย ๒ อัน เนื่องจากซอด้วงเป็นซอเสียงเล็กแหลม จึง ใช้สายที่ทำด้วยไหมหรือเอ็นเป็นเส้นเล็กๆ ส่วนคันชักนั้น ร้อยเส้นหางม้าให้เข้าอยู่ในระหว่างสาย ทั้งสอง


ซออู้ เป็นเครื่องสีที่มีสาย ๒ สาย ทำด้วยไหมหรือเอ็น เรียกว่า สายเอกและสายทุ้มเช่น เดียวกับซอด้วง แต่กะโหลกซึ่งเป็นเครื่องอุ้มเสียงทำด้วยกะลามะพร้าว ตัดตามยาวให้พูอยู่ข้างบน ขึงหน้าด้วยหนังแพะหรือหนังลูกวัว มีทวน (คัน) เสียบยาวขึ้นไปกลึงกลมตลอดปลาย มีลูกบิด สำหรับพันสาย ๒ อัน คันชักนั้นร้อยเส้นหางม้าให้อยู่ภายในระหว่างสายทั้งสอง  


การเรียกสายของเครื่องดนตรี ทั้งเครื่องดีด และเครื่องสีว่า "เอก" และ "ทุ้ม" นี้ เรียกตามลักษณะของเสียง สายที่มีเสียงสูงก็เรียกว่า สายเอก สายที่มีเสียงต่ำก็เรียกว่า สายทุ้ม ตลอดจน เครื่องตีที่จะกล่าวต่อไปนี้ก็อนุโลมเช่นเดียวกัน เครื่องที่มีเสียงสูงก็เรียกว่า เอก เครื่องที่มีเสียงต่ำ ก็เรียกว่า ทุ้ม


เครื่องตี
เครื่องดนตรีที่ตีแล้วดังเป็นเพลงหรือเป็นจังหวะมีมากมาย จะกล่าวเฉพาะที่ควรจะรู้จักและ ใช้กันอยู่ทั่วไป คือ

กรับ เป็นเครื่องตีที่เมื่อตีแล้วดัง กรับ - กรับ กรับอย่างหนึ่งเป็นไม้ไผ่ผ่าซีก ๒ อัน ถือ มือละอัน แล้วเอาทางผิวไม้ตีกัน เรียกว่า "กรับคู่" หรือ "กรับละคร" เพราะโดยมากใช้ประกอบการเล่นละคร
อีกอย่างหนึ่ง เป็นกรับที่ทำด้วยไม้เนื้อแข็งหรืองาช้าง เป็นซีกหนาๆ ประกบ ๒ ข้าง แล้วมีแผ่นโลหะ หรือไม้ หรืองา ทำเป็นแผ่นบางๆ หลายๆ อันซ้อนกันอยู่ข้างใน เจาะรูตอนโคน ร้อยเชือกเหมือนพัด เรียกว่า "กรับพวง"

ระนาดเอก
ระนาด เป็นเครื่องตีที่ทำด้วยไม้หรือเหล็กหรือทองเหลืองหลายๆ อัน เรียงเป็นลำดับกัน บางอย่างก็ร้อยเชือกหัวท้ายแขวน บางอย่างก็วางเรียงกันเฉยๆ 

ระนาดเอก ลูกระนาดทำด้วยไม้ไผ่บง หรือไม้ชิงชัง ไม้พะยูง และไม้มะหาด ลูกระนาด ฝานหัวท้ายและท้องตอนกลาง ตัดให้มีความยาวลดหลั่นกันตามลำดับของเสียง โดยปกติมี ๒๑ ลูก เรียงเสียงต่ำสูงตามลำดับ ลูกระนาดทุกลูกเจาะรูร้อยเชือกหัวท้ายแขวนบนรางซึ่งมีรูปโค้งขึ้น มีเท้า รูปสี่เหลี่ยม ตรงกลางสำหรับตั้ง ไม้สำหรับตีมี ๒ อย่างคือ ไม้แข็ง (เมื่อต้องการเสียงดังแกร่ง กร้าว) และไม้นวม (เมื่อต้องการเสียงเบาและนุ่มนวล)




ระนาดทุ้ม
ระนาดทุ้ม ลูกระนาดเหมือนระนาดเอก แต่ใหญ่และยาวกว่า มี ๑๗ ลูก รางที่แขวนนั้น ด้านบนโค้งขึ้น แต่ด้านล่างตรงขนานกับพื้นราบ มีเท้าเล็กๆ ตรงมุม ๔ เท้า ไม้ตีใช้แต่ไม้นวม การเทียบเสียงระนาดเอก และระนาดทุ้ม เมื่อต้องการให้สูงต่ำ ใช้ขี้ผึ้งผสมกับผงตะกั่ว ติดตรงหัวและท้ายด้านล่าง ถ่วงเสียงตามต้องการ


ระนาดเอกเหล็ก ลูกระนาดทำด้วยเหล็ก วางเรียงบนราง ไม่ต้องเจาะรูร้อยเชือกมี ๒๐ ลูก หรือมากกว่านั้น ถ้าลูกระนาดทำด้วยทองเหลืองก็เรียกว่า ระนาดทอง


ระนาดทุ้มเหล็ก เหมือนระนาดเอกเหล็กทุกประการ นอกจากลูกระนาดใหญ่และยาวกว่า มี ๑๗ ลูก ถ้าทำด้วยทองเหลืองก็เรียก ระนาดทุ้มทองการเทียบเสียงระนาดเอกเหล็กและระนาดทุ้มเหล็กนี้ ใช้ตะไบถูหัวท้ายด้านล่างและท้องลูก ระนาด ไม่ใช้ขี้ผึ้งผสมผงตะถั่วติด เมื่อต้องการให้ลูกไหนเสียงสูงขึ้น ก็ตะไบหัวหรือท้ายให้บาง ถ้าต้องการให้ต่ำก็ตะไบท้องให้บาง


ฆ้องโหม่ง เป็นฆ้องขนาดเขื่อง ขนาดตั้งแต่เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ ๓๐ เซนติเมตร ถึง ๔๕ เซนติเมตร โดยปกติใช้แขวนไม้ขาหยั่ง ๓ อัน หรือทำเป็นรูปอย่างอื่น ตีด้วยไม้ซึ่งพันด้วย ผ้าเป็นปุ่มตอนปลาย เสียงดังโหม่ง - โหม่ง จึงเรียกชื่อตามเสียง

ฆ้องวงใหญ่มี ๑๖ ลูก ขนาดลดหลั่นกันไปตามลำดับ ลูกต้นขนาดใหญ่ เสียงต่ำ อยู่ทาง ซ้ายของผู้ตี ลูกยอดขนาดเล็ก เสียงสูง อยู่ทางขวาของผู้ตี ทุกลูกผูกบนร้านซึ่งทำเป็นวงรอบตัว คนตี เว้นด้านหลังไว้ ผู้ตีนั่งในกลางวง ตีด้วยไม้ที่ทำด้วยแผ่นหนังหนา ตัดเป็นวงกลม มีด้าม เสียบตรงรูกลางแผ่นหนัง

ฆ้องวงเล็ก รูปร่างลักษณะเหมือนฆ้องวงใหญ่ แต่มีขนาดเล็กกว่าเท่านั้น มีจำนวนลูกฆ้อง ๑๘ ลูก 

การเทียบเสียงฆ้องวงใหญ่และฆ้องวงเล็กนี้ ใช้ขี้ผึ้งผสมกับผงตะกั่ว ติดตรงด้านล่างของ ปุ่มฆ้อง เพื่อให้ได้เสียงสูงต่ำตามต้องการ


ฉิ่ง ทำด้วยโลหะหล่อหนา รูปเหมือนฝาชี ปากกว้างประมาณ ๖ เซนติเมตร มีรูตรงกลาง สำหรับร้อยเชือก สำรับหนึ่งมี ๒ อัน เรียกว่า คู่ ตีให้ทางปากเข้ากระทบประกบกันดัง ฉิ่ง - ฉับ


ฉาบ ทำด้วยโลหะหล่อ บางกว่าฉิ่ง รูปเหมือนฉิ่งแต่มีชานต่อออกไปรอบตัว สำรับหนึง มี ๒ อัน เรียกว่า คู่ เหมือนกัน ฉาบนี้มี ๒ ขนาด อย่างเล็กขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ ๑๓ เซนติเมตร เรียกว่า "ฉาบเล็ก" อย่างใหญ่ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ ๒๕ เซนติเมตร เรียกว่า "ฉาบใหญ่"

กลองทัด เป็นเครื่องตีที่ทำด้วยไม้ท่อน กลึงให้ได้รูปและสัดส่วน ภายในขุดเป็นโพรง ขึง หน้าทั้งสองข้างด้วยหนังวัวหรือหนังควาย ตรึงด้วยหมุด (เรียกว่าแส้) ขนาดหน้ากลองเส้นผ่านศูนย์ กลางประมาณ ๔๖ เซนติเมตร เท่ากันทั้งสองหน้า ตัวกลองยาวประมาณ ๕๑ เซนติเมตร มีหู สำหรับแขวนเรียกว่า หูระวิง ๑ หู ชุดหนึ่งมี ๒ ลูก ลูกเสียงสูงเรียกว่า ตัวผู้ ลูกเสียงต่ำเรียกว่า ตัวเมีย ก่อนจะใช้ต้องติดข้าวสุกผสมกับขี้เถ้าบดให้เข้ากัน ติดตรงกลางหน้าล่างซึ่งไม่ได้ใช้ตี เพื่อ ให้เสียงนุ่มนวลขึ้น ใช้ตีด้วยไม้ท่อนยาวประมาณ ๕๐ เซนติเมตร


กลองแขก เป็นกลองที่มีรูปร่างยาวประมาณ ๕๗ เซนติเมตร ขึงหน้าด้วยหนังแพะหรือ หนังลูกวัว หน้าข้างหนึ่งใหญ่ กว้างประมาณ ๒๐ เซนติเมตร เรียกว่า "หน้ารุ่ย" หน้าข้างเล็กกว้าง ประมาณ ๑๗ เซนติเมตร เรียกว่า "หน้าต่าน" มีสายโย่งเร่งเสียงถึงกันทั้งสองหน้าห่างๆ ทำด้วย หวายผ่าซีก และอีกเส้นหนึ่งพันยึดสายเป็นคู่ๆ รอบกลองเรียกว่า รัดอก สำรับหนึ่งมี ๒ ลูก ลูก เสียงสูงเรียกว่า ตัวผู้ ลูกเสียงต่ำเรียกว่า ตัวเมีย ใช้ตีด้วยมือทั้งสองหน้า


โทน เป็นเครื่องตีที่ขึงหนังหน้าเดียว รูปร่างตอนต้นโต แล้วค่อยเรียวลงไป ตอนสุดผาย ออกนิดหน่อย มีสายโยงเร่งเสียงจากหน้ามาถึงคอ ซึ่งมีอยู่ ๒ อย่างคือ โทนมโหรีกับโทนชาตรี รูปร่างลักษณะต่างกันเล็กน้อย
โทนมโหรี สำหรับใช้ในวงมโหรี ในสมัยโบราณเรียกว่า "ทับ" จึงได้เรียกทั้งสองชื่อติดกันว่า "โทนทับ" ตัวโทนทำด้วยดินเผา สายโยงเร่งเสียงมักใช้ไหมหรือเอ็น (อย่างสายซอ) หรือด้าย ขึงหน้าด้วยหนังแพะหรือหนังลูกวัว หรือหนังงูเหลือม


โทนชาตรี ตัวโทนทำด้วยไม้ สายโยงเร่งเสียงมักจะใช้หนัง ขึงหน้าด้วยหนังลูกวัวโดยมาก ทางภาคใต้มักใช้ขนาดใหญ่ ส่วนภาคกลางใช้ขนาดย่อมกว่า


รำมะนา เป็นเครื่องตีที่ขึงหนังหน้าเดียว รูปร่างแบน (หรือสั้น) มี ๒ อย่าง คือ รำมะนา ลำตัด และรำมะนามโหรี รำมะนาตัดนั้นมีขนาดใหญ่ แต่จะไม่พูดถึง เพราะมิได้อยู่ในวงดนตรี จึงกล่าวแต่เฉพาะรำมะนาที่ใช้ในวงมโหรีเท่านั้น
รำมะนา รำมะนาในวงมโหรี ขึงหน้าด้วยหนังลูกวัว ตรึงด้วยหมุด ตัวกลองสั้น กลึงให้ทางปาก สอบเข้า มีเส้นเชือกควั่นเป็นเกลียว ยัดหนุนริมหน้าภายใน สำหรับหมุนให้หน้าตึงขึ้น เรียกว่า "สนับ"

ตะโพน เป็นเครื่องตีที่ขึงหนัง ๒ หน้า ตัวหุ่นทำด้วยไม้ ตรงกลางป่อง ภายในขุดเป็นโพรง หนังที่ขึงหน้าเจาะรูรอบ มีเส้นหนังเล็กๆ ควั่นเป็นเกลียวถัก เรียกว่า "ไส้ละมาน" ใช้หนังตัดเป็นแถบเล็กๆ เรียกว่า "หนังเรียด" ร้อยไส้ละมานโยงทั้งสองหน้า เร่งเสียงตามต้องการ ตรงกลางมีหนังเรียดพันเป็น "รัดอก" วางนอนบนเท้า ซึ่งทำด้วยไม้เข้ารูปกับหน้าตะโพน หน้าใหญ่เรียกว่า "หน้าเท่ง" หน้าเล็กเรียกว่า "หน้ามัด" เวลาจะตีต้องติดข้าวสุกผสมกับขี้เถ้าทางหน้าเท่ง ถ่วงเสียงให้พอเหมาะ

เครื่องเป่า 
เครื่องดนตรีไทยที่ใช้ลมเป่าแล้วดังเป็นเสียงนั้น แบ่งออกได้เป็น ๒ ประเภท ประเภท หนึ่งต้องมีลิ้นที่ทำด้วยใบไม้ หรือไม้ไผ่ หรือโลหะ สอดใส่เข้าไว้ เมื่อเป่าลมเข้าไป ลิ้นก็จะเต้นไหว ให้เกิดเสียง เรียกว่า "ปี่" อีกประเภทหนึ่งไม่มีลิ้น แต่มีรูบังคับ ทำให้ลมที่เป่าหักมุม แล้วเกิดเป็นเสียงขึ้น เรียกว่า "ขลุ่ย" ทั้งปี่และขลุ่ย ลักษณนามเรียกว่า "เลา" ซึ่งมีอยู่หลายประเภท แต่จะกล่าวเฉพาะที่ควรรู้เท่านั้น คือ


ปี่ใน ทำด้วยไม้ชิงชังหรือไม้พะยูง กลึงให้ป่องกลางและบานปลายทั้ง ๒ ข้างเล็กน้อย เจาะเป็นรูกลวงภายใน มีรูสำหรับปิดเปิดนิ้วให้เป็นเสียงสูงต่ำ เจาะที่ตัวปี่ ๖ รู ๔ รูบนเรียงตาม ลำดับ แล้วเว้นห่างพอควรจึงถึง ๒ รูล่าง ลิ้นปี่ทำด้วยใบตาลตัดกลมมน ซ้อน ๔ ชั้น ผูกติดกับ หลอดโลหะที่เรียกว่า "กำพวด" สอดกำพวดเข้าในรูปี่ด้านบนแล้วจึงเป่า


ที่เรียกว่าปี่ในนี้ มาเรียกกันเมื่อมีปี่รูปร่างอย่างเดียวกัน แต่ขนาดต่างกันเกิดขึ้น คือ ปี่ที่ย่อมกว่าปี่ใน เล็กน้อยเรียก "ปี่กลาง" และปี่ขนาดเล็กเรียกว่า "ปี่นอก"


ปี่ไฉน และปี่ชวา
ปี่ชวา รูปร่างเหมือนปี่ไฉน แต่ใหญ่กว่า ยาวประมาณ ๓๙ เซนติเมตร บรรเลงร่วมในวง เครื่องสายปี่ชวา และปี่พาทย์นางหงส์

ขลุ่ย เป็นเครื่องเป่าที่ไม่มีลิ้น ทำด้วยไม้รวก (ที่ทำด้วยไม้ชิงชังหรืองาช้างก็มี) มีรูสี่เหลี่ยมผืนผ้าอยู่ด้านใต้ ซึ่งทำให้ลมหักมุมลง เรียกว่า รูปากนกแก้ว รูที่สำหรับปิดเปิดนิ้วบังคับ เสียงสูงต่ำอยู่ด้านบน ๗ รู และ ด้านล่างเรียกว่า รูนิ้วค้ำ อีก ๑ รู ด้านขวามีรูสำหรับปิดเยื่อ (เยื่อ ในปล้องไม้ไผ่หรือเยื่อหัวหอม) เพื่อให้เสียงแตก (เมื่อต้องการ) ขลุ่ยรูปร่างอย่างเดียวกันนี้มี ๓ ขนาด คือ "ขลุ่ยหลิบ" ขนาดเล็ก มีเสียงสูง ยาวประมาณ ๓๖ เซนติเมตร "ขลุ่ยเพียงออ" ขนาดกลาง เสียงระดับกลาง ยาวประมาณ ๔๕ เซนติเมตร และ "ขลุ่ยอู้" ขนาดใหญ่ มีเสียงต่ำ ยาว ประมาณ ๖๐ เซนติเมตร